บล.โกลเบล็ก ชี้ปัจจัยในปท.กดดัน SET ให้กรอบสะสมหุ้น 1,425-1,430 จุด

บล.โกลเบล็ก ชี้ปัจจัยในปท.กดดัน SET ให้กรอบสะสมหุ้น 1,425-1,430 จุด


นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ปัญหาหนี้กรีซมีความคืบหน้ามากยิ่งขึ้น โดยล่าสุดได้ชำระหนี้แก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) และธนาคารกลางยุโรป(ECB) จำนวน 6.25 พันล้านยูโรแล้ว และที่ประชุมรัฐสภากรีซมีมติอนุมัติมาตรการปฏิรูปด้านการธนาคารและกระบวนการยุติธรรมตามข้อตกลงที่นายกรัฐมนตรี อเล็กซิส ซิปราส ทำไว้กับกลุ่มประเทศเจ้าหนี้หนี้ ขณะที่มีรายงานจากธนาคาร ANZ Bank ในจีนประเมินว่าการปรับตัวลงของตลาดหุ้นจีนเปิดทางให้ธนาคารกลางจีนสามารถดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินได้มากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจีนจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ราวไตรมาส 3/58 และลดสัดส่วนกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 1% ภายในสิ้นปีนี้

ส่วนปัจจัยในประเทศที่จะกดดันดัชนีในขณะนี้มาจากภาวะเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะขยายตัวแค่ 2.6% เพราะแรงกดดันการส่งออก และปัญหาภัยแล้งที่ทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลง และกดตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ให้ลดลงราว 0.5% นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)ของรัฐบาลยิ่งเป็นแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจมากขึ้น

ประกอบกับแผนลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ล่าช้า โดยโครงการที่เหลือกว่า 7.3 แสนล้านบาทจะยกยอดประมูลไปในปี 59 ทำให้ภายในปลายปี 58 จะมีการดำเนินการเพียงแค่โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ เส้นทางมอเตอร์เวย์ 3 เส้นทาง โดยเฉพาะเส้นทางพัทยา -มาบตาพุดน่าจะเปิดประมูลก่อน และโครงการรถไฟไทย-จีนช่วง เส้นทางกรุงเทพฯ-แก่งคอย ที่มีเม็ดเงินลงทุนกว่า 9.5 หมื่นล้านบาท

ด้านนายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก แนะนำว่า ปัจจัยลบจากความกังวลเศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัวเนื่องจากภาคการส่งออกติดลบ ปัญหาภัยแล้ง รวมถึงแผนลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ล่าช้า กระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนโดยตรง อีกทั้งการที่เฟดส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้จะส่งผลให้กระแส Fund flow ของนักลงทุนต่างชาติไหลออก

อย่างไรก็ตาม การประกาศงบการเงินในช่วงไตรมาส 2/58 ของกลุ่มธนาคารที่หดตัวลงไม่มากนัก และมีหลายธนาคารที่ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ทำให้สถานการณ์ลงทุนไม่เลวร้ายมากนัก

ดังนั้น ประเมินว่า SET จะปรับตัวลง โดยมีโซนแนวรับที่บริเวณ 1,425-1,430 จุดซึ่งเป็นจุดที่สามารถทยอยซื้อสะสมตามสัญญาณเทคนิคจากภาวะ Oversold (ขายมากเกินไป) ทั้งนี้แนะนำซื้อหุ้นที่มีปัจจัยบวก ได้แก่ กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/58 ออกมาดีเช่น PTTGC, BCP, TOP, THCOM, STPI, FSMART, MTLS, AAV, SYNEX กลุ่มสื่อสาร ADVANC, INTUCH ที่ได้รับผลดีจากความคืบหน้าการประมูล 4G และเป็นหุ้นปันผลครึ่งปีเด่น กลุ่มส่งออก อาหาร อิเล็กทรอนิกส์ ได้อานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนค่า ที่อ่อนค่ากว่า 2% จากสัปดาห์ก่อน และกลุ่มเดินเรือแนะนำ TTA, PSL ค่าระวางเรือขึ้นสูงสุดในรอบ 8 เดือน

สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ราคาทองได้รับแรงกดดันหลังนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด เน้นย้ำในการแถลงนโยบายการเงินรอบครึ่งปีว่าเฟดมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้หากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีการขยายตัวและระบุว่ามีสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง

สอดคล้องกับนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ ที่เห็นว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน โดยมองว่ามีโอกาสเป็นไปได้ 50% ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นสร้างแรงกดดันต่อราคาทอง ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้นักลงทุนมีแนวโน้มลดการถือครองทองคำและหันไปซื้อสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงรวมถึงสกุลเงินดอลลาร์

ดังนั้น ประเมินว่าราคาทองแนวโน้มหลักยังแกว่งตัวอยู่ในช่วงขาลง จากแนวต้านสัญญาณ DEAD CROSS ยังคงกดดันอยู่ ทำให้ราคาทองปรับลงต่อ อย่างไรก็ตาม คาดว่าการลงจะไม่แรงมากและมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นจากแรงหนุนภาวะลงแรงมากเกินไป และค่าสัญญาณ RSI ลงมาในเขต OVER SOLD อย่างมาก แต่จะปรับขึ้นไม่มากเนื่องจากแนวโน้มลงยังกดดันอยู่ แนวรับ 1,075- 1,070 เหรียญต่อทรอยออนซ์ แนวต้าน 1,115- 1,120 เหรียญต่อทรอยออนซ์

Back to top button