“อุตตม” ชี้ S&P ปรับมุมมองเชิงบวก หนุนความเชื่อมั่นนลท.ทั้งใน-ตปท.

"อุตตม" ชี้ S&P ปรับมุมมองเศรษฐกิจไทยเชิงบวก หนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ


นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ล่าสุด บริษัท S&P Global Ratings(S&P) ได้มีการปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจไทยจากระดับมีเสถียรภาพ(Stable) เป็นเชิงบวก(Positive) และยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในการออกตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศระยะยาวที่ BBB+ และระยะสั้นที่ A-2 รวมทั้งคงอันดับความน่าเชื่อถือสกุลเงินบาทระยะยาวที่ A- และระยะสั้นที่ A-2

โดยมีปัจจัยด้านบวกของประเทศไทยมาจาก 1. ภาคการคลังที่แข็งแกร่งและระดับหนี้สาธารณะที่ต่ำ 2. ฐานะการเงินระหว่างประเทศและสภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูง(Solid External Balance Sheet and Liquidity) 3. การดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่เหมาะสมในช่วงที่ผ่านมา และ 4. การมียุทธศาสตร์ชาติเป็นสิ่งที่ดี รวมทั้งการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง น่าจะตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดี มีเสถียรภาพทางการเมือง (Political Stability) ซึ่งน่าจะส่งผลดีกับการปฏิรูปเศรษฐกิจ(Economic Reform) และการบริหารงาน(Public Administration) เพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Economic Growth)

อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อจากนี้ไป บริษัท S&P ประเมินว่า ควรต้องติดตามผลกระทบของสงครามการค้าสหรัฐฯ และจีน ที่มีต่อภาคการส่งออกของไทย

โดยในช่วงที่ผ่านมา สถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำต่างๆ ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือที่มีต่อเศรษฐกิจไทย โดยเมื่อเดือนก.ค.62 บริษัท Fitch Ratings(Fitch) และบริษัท Moody’s Investors Service(Moody’s) ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจากระดับมีเสถียรภาพ(Stable) เป็นเชิงบวก(Positive) และยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่ระดับ BBB+ และ Baa1 ตามลำดับ และต่อมาเมื่อเดือนต.ค.62 บริษัท Rating and Investment Information, Inc. (R&I) ปรับอันดับความน่าเชื่อถือของไทยดีขึ้นจากระดับ BBB+ มาเป็น A- สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้ การปรับมุมมองความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยของสถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำต่างๆ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และสนับสนุนให้รัฐบาลสามารถดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน(PPP) ต่อไป เพื่อยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทยในอนาคต. รมว.คลัง กล่าว

Back to top button