หุ้นพลังงานวิ่งยกแผง PTTEP นำทีม! ขานรับราคาน้ำมันขาขึ้นหลังความไม่สงบในตะวันออกกลาง

หุ้นพลังงานวิ่งยกแผง PTTEP นำทีม! ขานรับราคาน้ำมันขาขึ้นหลังความไม่สงบในตะวันออกกลาง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ล่าสุด ณ เวลา 10.44 น. อยู่ที่ระดับ 134 บาท ปรับตัวขึ้น 4 บาท หรือ 3.08% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.04 พันล้านบาท

ด้าน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  หรือ PTT อยู่ที่ระดับ 47.50 บาท ปรับตัวขึ้น 1 บาท หรือ 2.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.35 พันล้านบาท

ขณะที่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC อยู่ที่ระดับ 3.98 บาท ปรับตัวขึ้น 0.06 บาท หรือ 1.53% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 738.90 ล้านบาท

อีกทั้ง บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP อยู่ที่ระดับ 72.75 บาท ปรับตัวขึ้น 0.75 บาท หรือ 1.04% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 280.45 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีโดยรวมปรับตัวลดลง 12.69 จุด

ทั้งนี้  บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า ความตึงเครียดในตะวันออกกลางกดดันให้เกิดแรงทำกำไรระยะสั้นในหุ้นกลุ่มพลังงานเช่นเดียวกับตลาดหุ้นโลก หลังมีรายงานปฏิบัติการทางอากาศของสหรัฐฯ ในการสังหารกัสเซ็ม โซไลมานี นายพลคนสำคัญและผู้นำระดับสูงของอิหร่าน ส่งผลให้ความตึงเครียดและความกังวลในตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น ขณะที่อิหร่านมีประชาชนเข้าร่วมไว้อาลัยการเสียชีวิตจำนวนมาก และมีการชักธงแดงขึ้นสู่ยอดสุเหร่าศักดิ์สิทธิ์”จามคาราน”เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการประกาศแก้แค้น ส่งผลลบแต่หุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง แต่บวกต่อสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นทดสอบ 70 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

พร้อมทั้งคาดว่าอาจมีการตอบโต้จากทางอิหร่าน แต่คงไม่ถึงขั้นจะนำไปสู่สงครามโลก โดยมีรายงานเกี่ยวกับการยิงขีปนาวุธตกลงบริเวณ Green Zone ใกล้สถานฑูต และฐานทัพสหรัฐฯ ในอิรัก ซึ่งถูกมองเป็นการตอบโต้จากอิหร่าน และอาจมีมาตรการทางทหารระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านอีกระยะ รวมถึงคำขู่เกี่ยวกับการปิดช่องแคบฮอร์มุทช์ที่เป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญออกจากตะวันออกกลาง

สำหรับการประเมินว่าจะไม่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 เนื่องจาก 1) ความห่างชั้นของเทคโนโลยีและอำนาจทางการทหารของทั้งคู่ 2) สถานะของอิหร่านซึ่งชนส่วนใหญ่รับถือนิกาย”ชีอะห์”ซึ่งเป็นมุสลิมส่วนน้อยของโลก (15% เป็นชีอะห์ ส่วนใหญ่ 85% เป็นสุหนี่) การเข้าสู่สงครามใหญ่จะส่งผลต่อดุลดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ 3) สถานะทางเศรษฐกิจ การเงิน และความพร้อม

ขณะเดียวกัน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ โดยให้คำแนะนำ Neutral กลุ่มพลังงาน (โรงกลั่น) น้ำหนักลงทุน  มองว่าตลาดรับรู้ผลประโยชน์ที่กลุ่มโรงกลั่นจะได้รับจาก IMO 2020 ไปบางส่วนแล้ว ปัจจุบันส่วนต่างราคาของ GO และ HSFO อยู่ที่ประมาณ 30 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากก่อนที่จะมี IMO 2020 ที่อยู่ในช่วง 15-20 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนค่าเฉลี่ยของส่วนต่างหลังจากมีประเด็น IMO 2020 คือ 35 ดอลลาร์/บาร์เรล

สำหรับ 4 ปัจจัยที่กังวลว่าจะฉุดผลประโยชน์ที่จะได้รับจาก IMO 2020 คือ 1) ค่าพรีเมียมน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น ราว 40%QTD (โดยคำนวณถึงสิ้น 23 ธ.ค.62) , 2) ค่าขนส่งสูงขึ้น 109%QTD, 3) มีซับพลาย GO/JET/ULG เพิ่มขึ้น จากการปรับ Product mix ในการผลิต และ 4) มีกำลังการผลิตเข้ามาเพิ่ม 1.5 ล้านบาร์เรล/วันในปี 63 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้ผลประโยชน์จาก IMO 2020 อาจจะน้อยกว่าที่ประเมินไว้

ทั้งนี้คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/62 ของกลุ่มโรงกลั่นจะดีจากกำไรสต็อกและ FX ทั้งนี้แม้ว่า Core profit ใน 4Q62 จะอ่อนลง แต่ก็ได้แรงหนุนจากกำไรสต็อกประมาณ 3.2 ดอลลาร์/บาร์เรล เทียบกับช่วงไตรมาส 4/61 และไตรมาส 3/62 ที่ขาดทุนสต็อก 21 และ 4 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามลำดับ และในไตรมาส 4/62 จะมีกำไร FX ราว 0.80 บาท/ดอลลาร์สหรัฐในเงินกู้ยืมรูปดอลลาร์ด้วย

โดยให้ TOP เป็น Top pick ของกลุ่มโรงกลั่น เนื่องจาก 1) คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/62 จะฟื้นตัวทั้งจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และจากไตรมาสก่อน 2) ใช้น้ำมันดิบ Light crude ต่ำ, 3) มีส่วนสูญเสีย (Fuel loss) ต่ำ, 4) มีต้นทุนดำเนินงานที่เป็นเงินสดต่ำที่สุด และ 5) ได้ประโยชน์จาก IMO 2020 มากที่สุด

Back to top button