หุ้นการบินร่วงยกแผง! เจอปัจจัยลบ 2 เด้ง วิตกโรคไวรัสปอดอักเสบจากจีนระบาด-ราคาน้ำมันพุ่ง
หุ้นการบินร่วงยกแผง! เจอปัจจัยลบ 2 เด้ง วิตกโรคไวรัสปอดอักเสบจากจีนระบาด-ราคาน้ำมันพุ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ เวลา 11.33 น. ราคาหุ้น บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV อยู่ที่ 2.08 บาท ลบ 0.16 บาท หรือ 7.14% สูงสุดที่ 2.10 บาท ต่ำสุดที่ 2 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 35.54 ล้านบาท
ราคาหุ้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI อยู่ที่ 6.70 บาท ลบ 0.25 บาท หรือ 3.60% สูงสุดที่ 6.90 บาท ต่ำสุดที่ 6.65 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 13.14 ล้านบาท
ราคาหุ้น บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA อยู่ที่ 6.75 บาท ลบ 0.15 บาท หรือ 2.17% สูงสุดที่ 6.80 บาท ต่ำสุดที่ 6.70 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2.12 ล้านบาท
ราคาหุ้น บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK อยู่ที่ 2 บาท ลบ 0.02 บาท หรือ 0.90% สูงสุดที่ 2.02 บาท ต่ำสุดที่ 2 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 0.09 ล้านบาท
โดย บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เริ่มมีความกังวลมากขึ้นหลังจากที่มีข่าวว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT สั่งเฝ้าระวังไวรัสปอดอักเสบแพร่ระบาดจากจีน โดยให้เที่ยวบินจากพื้นที่เสี่ยงลงจอดเฉพาะจุด และตั้งเทอร์โมสแกนวัดอุณหภูมิร่างกายผู้โดยสารก่อน ทำให้มีมุมมองเป็นลบต่อกลุ่มฯมากขึ้น เนื่องจากโรคไวรัสลงปอดมีโอกาสเป็นโรคติดต่อที่อาจแพร่กระจายได้ แต่เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าสามารถติดต่อจากคนสู่คนหรือสัตว์สู่คนหรือไม่ ทั้งนี้ คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มสายการบินอย่าง AAV เพราะมีเที่ยวบินไปยังเมืองหวู่ฮั่นจำนวน 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ส่วน AOT คาดว่าจะได้รับผลกระทบเล็กน้อย โดยปัจจุบันมีสัดส่วนผู้โดยสารชาวจีนประมาณ 16-18%
ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยวจะได้รับ sentiment เชิงลบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีโอกาสไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ได้ เบื้องต้นยังคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังประเทศไทยในปี 2563 ไว้ที่ระดับ 40.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.5% เมื่อเทียบจากปีก่อน ซึ่งหากสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้นอาจจะต้องมีการปรับประมาณการลง
ส่วน บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางมีโอกาสนำไปสู่สงคราม ส่งผลกระทบต่อการลงทุนตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งนี้ปัจจัยบวกในสถานการณ์นี้มีเพียงเรื่องราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น และยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้น ตอบรับราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มกว่า 2% ในทางตรงข้ามหุ้นในกลุ่มสายการบินปรับลดลงจากความกังวลต่อผลประกอบการ จากค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น