วิตกหุ้นจีนดิ่งหนักฉุดดาวโจนส์ปิดร่วง 127 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (27 ก.ค.) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 5 วันทำการ เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นจีนและยุโรป โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนที่ปิดตลาดดิ่งลงกว่า 8% เมื่อวานนี้ อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ


สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดวานนี้ (27 ก.ค.) ที่ 17,440.59 จุด ร่วงลง 127.94 จุด หรือ -0.73%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,039.78 จุด ลดลง 48.85 จุด หรือ -0.96% และดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,067.64 จุด ลดลง 12.01 จุด หรือ -0.58%

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซาเมื่อคืนนี้ เนื่องจากการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นจีนได้กระตุ้นให้เกิดแรงเทขาย โดยเมื่อวานนี้ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดตลาดร่วงลง 8.48% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรุนแรงสุดในรอบ 8 ปี อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลที่ว่าเศรษฐกิจจีนกำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัว หลังจากมีข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความอ่อนแอของภาคการผลิต

ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยว่า บริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีนมีผลกำไรในเดือนมิ.ย.ลดลง 0.3% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 5.8857 แสนล้านหยวน หลังจากที่ขยายตัว 0.6% ในเดือนพ.ค. ขณะที่ผลสำรวจของมาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นของจีนในเดือนก.ค.ลดลงแตะ 48.2 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน จาก 49.4 ในเดือนมิ.ย. นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นยุโรป โดยเฉพาะดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันที่ร่วงลงเกือบ 300 จุดเมื่อคืนนี้

ตลาดหุ้นนิวยอร์กแทบจะไม่ได้รับปัจจัยบวกจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่เปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 3.4% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.7%

หุ้นของบริษัทที่ต้องพึ่งพายอดขายในประเทศจีนต่างก็ปรับตัวลงถ้วนหน้า โดยหุ้น Yum! Brands ปรับตัวลง 0.8% หุ้นแอปเปิล อิงค์ ซึ่งมีฐานตลาดที่ใหญ่ในประเทศจีน ร่วงลง 1.4% หุ้นไป่ตู้ และหุ้นอาลีบาบา ร่วงลงกว่า 1.9% และหุ้นยาฮู ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในอาลีบาบา ร่วงลง 2.6%

นักลงทุนจับตาดูการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในวันที่ 28-29 ก.ค. เพื่อหาสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด เน้นย้ำในการแถลงนโยบายการเงินรอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสครั้งล่าสุดว่า เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ รวมถึงราคาบ้านเดือนพ.ค.จากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือนก.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จาก Conference Board และดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ค.จากเฟดสาขาริชมอนด์

Back to top button