OSP พุ่ง 3% ลุ้นวิ่งแตะเป้า 48 บาท รับกำไรโต-แบรนด์แข็งแกร่ง!
OSP พุ่ง 3% ลุ้นวิ่งแตะเป้า 48 บาท รับกำไรโต-แบรนด์แข็งแกร่ง!
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ล่าสุด ณ เวลา 11.47 น. อยู่ที่ระดับ 43.50 บาท ปรับตัวขึ้น 1.25 บาท หรือ 2.96% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 378.85 ล้านบาท
ทั้งนี้ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ (9 ม.ค.63) ว่า OSP ถือเป็นผู้นำตลาดสินค้าอุปโภค บริโภคในไทย ที่จัดตั้งกิจการขึ้นมาอย่างยาวนานนับศตวรรษ สินค้าเน้นเป็นเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ มีส่วนครองตลาดเครื่องดื่มสูงถึง 53.5% ด้วนแบรนด์ที่เป็นเรือธงคือ M-150 มีส่วนครองตลาดถึง 37.4% ด้านสินค้าที่ใช้ส่วนบุคคลก็มีส่วนครองตลาดที่สูง สำหรับแบรนด์ที่เด่นคือ Babi Mild สินค้าบริษัทได้รับความนิยมสูงมาอย่างยาวนาน เพราะการตั้งราคาที่จับต้องได้
สำหรับ ผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนปี 2562 เป็นไปตามแผนของเป้าหมายปี 62 ด้วยการเติบโตเป็น 5.7% และอัตรากำไรที่สูงขึ้น สำหรับปี 63 นี้ ตั้งเป้าหมายเติบโตทั้งรายได้และกำไรในอัตราที่ตัวเลข 2 หลัก
ส่วนประเด็นที่ต้องปัจจัยจับตา ดังนี้ ในงวดไตรมาส 4/62 ได้เริ่มโรงงานผลิตขวดแก้วใหม่ ทำให้กำลังการผลิตเพิ่ม 10-15% ข้อดีคือ มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ จะช่วยเพิ่มอัตรากำไรได้ในอนาคต ขณะที่ในงวดไตรมาส 1/63 จะเริ่มโรงงานผลิตเครื่องดื่มที่เมียนมาร์ ทำให้ตลาดต่างประเทศยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
ขณะที่ก่อนหน้านี้ บล.ดีบีเอสฯ แนะนำ “ซื้อ” OSP ราคาเป้าหมาย 48 บาท/หุ้น โดยระบุว่า OSP ถือเป็นผู้นำตลาดสินค้าอุปโภค บริโภคในไทย ที่จัดตั้งกิจการขึ้นมาอย่างยาวนานนับศตวรรษ สินค้าเน้นเป็นเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ มีส่วนครองตลาดเครื่องดื่มสูงถึง 53.5% ด้วนแบรนด์ที่เป็นเรือธงคือ M-150 มีส่วนครองตลาดถึง 37.4% ด้านสินค้าที่ใช้ส่วนบุคคลก็มีส่วนครองตลาดที่สูง สำหรับแบรนด์ที่เด่นคือ Babi Mild สินค้าบริษัทได้รับความนิยมสูงมาอย่างยาวนาน เพราะการตั้งราคาที่จับต้องได้
สำหรับจุดเด่นคือ มีส่วนครองตลาดสูงสุดใน Segment ต่างๆของสินค้าอุปโภค บริโภค ทั้งไทยและเมียนมาร์ ซึ่งยอดขายต่างประเทศเป็นสัดส่วนราว 16% จากยอดขายทั้งหมด รวมทั้งจะมีการขยายไปประเทศอื่นๆ ในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีโอกาสทางธุรกิจอีกมาก เช่น ลาว กัมพูชา อินโดนีเซียและเวียดนาม แนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอ แรงหนุนนำมาจากผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เจาะตลาดใหม่ๆ และปรับอัตรากำไรที่ได้รับให้มากขึ้น ด้วยการประหยัดต้นทุนและใช้นวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งการมี Facilities ใหม่ๆ
ด้านการผลิตทั้งในประเทศและต่างประเทศ ช่วยเพิ่มให้ยอดขายเติบโตดี และเพิ่มกำไร ทั้งนี้การมีสินค้าทั้งสองประเภท และมีหลายแบรนด์ ช่วยกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี แบรนด์เครื่องดื่มดังอื่นๆ เช่น ลิโพวิตันดี ฉลาม Peptien C-Vitt และ Calpis เป็นต้น ส่วนสินค้าส่วนบุคคล เช่น Twelve Plus และ Exit เป็นต้น
ทั้งนี้ เริ่มต้นวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ ซื้อ ประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 48.00 บาท ด้วยวิธี DCF ราคาปิดปัจจุบันมีส่วนเพิ่มได้อีก 19% คาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรหลักปีนี้และปี 64 แข็งแกร่งเป็น 15%/16% ตามลำดับ ขณะที่ภาระการลงทุนที่สูงใกล้จบลง แม้ P/E ปี 64 สูงเป็น 29.1 เท่า สูงกว่าหลักทรัพย์กลุ่มเครื่องดื่ม (Peers) แต่ถือว่าเป็นการสะท้อนแนวโน้มอัตราการเติบโตกำไรที่แข็งแกร่ง การเป็นผู้นำตลาดของสินค้า ทีมผู้บริหารมีความสามารถสูง และฐานะการเงินที่ดีมากเป็นเงินสดสุทธิ (net cash balance) จึงสมควรแล้วที่จะมีส่วนเพิ่ม (Premium) เหนือกลุ่ม