ECF กางแผนปี 63 ตั้งเป้ารายได้โต 15% ชูกลยุทธ์เพิ่มมาร์จิ้น-บริหารต้นทุนขาย
ECF กางแผนปี 63 ตั้งเป้ารายได้โต 15% ชูกลยุทธ์เพิ่มมาร์จิ้น-บริหารต้นทุนขาย
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจในปีนี้ว่า บริษัทมุ่งเน้นที่จะสร้างการเติบโตจากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และธุรกิจพลังงาน โดยตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15 % ปรับแผนงานตั้งเป้าเพิ่มอัตรากำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 4-5 %
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตมาจากการขยายตลาดของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจพลังงานทดแทน ซึ่งปีนี้จะเห็นการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรอย่างชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งบริษัทมีการวางแผนงานเพื่อบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย ประกอบกับควบคุมค่าใช้จ่ายในการเข้าศึกษาความเป็นไปได้ในธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เฟอร์นิเจอร์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นสัดส่วนกำไรสุทธิทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากธุรกิจต่าง ๆ ในปีนี้
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์มีสัญญาณการเติบโตที่ดีอย่างมีนัยสำคัญ จากการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ส่งออกไปต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นขยายตลาดกลุ่มลูกค้ารายใหม่ในญี่ปุ่น อินเดีย ตะวันออกกลาง และจีน ซึ่งถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ ที่มีศักยภาพสามารถสร้างโอกาสการเติบโตของคำสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์ในอนาคตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดคำสั่งซื้อสินค้าที่คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2563 นี้ อีกทั้งยังมีกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่มีศักยภาพอยู่ระหว่างการเจรจาอีกหลายราย
ขณะที่ตลาดในประเทศ บริษัทมีแผนปรับโครงสร้างการจัดจำหน่าย มุ่งเน้นกระตุ้นยอดขายในช่องทางจำหน่ายใหม่ ๆที่มีประสิทธิภาพ อาทิ ผ่านร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำที่มีสาขาทั่วประเทศ ล่าสุดสามารถเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านร้านโมเดิร์นเทรดได้อีก 2 ราย ซึ่งแต่ละรายมีโอกาสการเติบโตผ่านการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังได้เริ่มออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อจำหน่ายในรูปแบบอุปกรณ์ก่อสร้างที่ใช้วัตถุดิบจากไม้ยางพารา เพื่อจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าผู้รับเหมาที่รับงานติดตั้งให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หลายรายของประเทศ ทั้งนี้ บริษัทพยายามรักษาสัดส่วนรายได้จากยอดขายต่างประเทศอยู่ที่ 55 % และในประเทศ อยู่ที่ 45 %
สำหรับธุรกิจพลังงานทดแทน ในปีนี้จะเห็นการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยที่ผ่านมารับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลภาคใต้ขนาด 7.5 เมกะวัตต์ ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 220 MW มินบู ประเทศเมียนมาร์ ที่เฟสแรก (50 MW) สามารถจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ COD และเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรงวดแรกเข้ามาเต็มในไตรมาส 4/62 ส่วนเฟสที่ 2 3 และ 4 อยู่ระหว่างวางแผนเพื่อก่อสร้างให้ครบโดยเร็วที่สุด ซึ่งหากครบทั้ง 4 เฟส บริษัทคาดการณ์รับรู้ส่วนแบ่งกำไรอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 80 -100 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุน โดยบริษัทจะมุ่งเน้นเข้าศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุนในโครงการที่มีผลตอบแทนสูง และจะเน้นการเข้าลงทุนเองเป็นหลัก