TPCH ลุ้นกำไรปี 63 นิวไฮต่อ! รับเป้ารายได้โต 50% หลังกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม-ต้นทุนลด

TPCH ลุ้นกำไรปี 63 นิวไฮต่อ! รับเป้ารายได้โต 50% หลังกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม-ต้นทุนลด


นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 63 คาดว่าจะสามารถทำกำไรสุทธินิวไฮได้ต่อเนื่องจากปี 62 ตามรายได้ที่คาดว่าจะเติบโตราว 50% จากการรับรู้กำลังการผลิตไฟฟ้าที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มขึ้นเท่าตัวมาที่ 120 เมกะวัตต์ (MW) จาก 60 เมกะวัตต์ในปีที่ผ่านมา โดยโรงไฟฟ้าชีวมวล 50 เมกะวัตต์จะจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในไตรมาส 2/63 และโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 10 เมกะวัตต์ในไตรมาส 4/63

นอกจากนี้ ต้นทุนเชื้อเพลิงชีวมวลที่น่าจะลดลงราว 10% หลังจากที่ดีดตัวขึ้นไป 10-15% ในปีที่ผ่านมา จากปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน กระทบต่อการส่งออกของโรงงานเฟอร์นิเจอร์ทางภาคใต้ ทำให้ไม่มีการตัดไม้เพื่อมาผลิตเฟอร์นิเจอร์ ส่งผลให้ราคาไม้ปลีกและเศษไม้ที่จะนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้ามีราคาแพงขึ้น แต่ล่าสุดสถานการณ์เริ่มดีขึ้นหลังข้อพิพาททางการค้าคลี่คลายทำให้มีเริ่มมีออร์เดอร์โรงงานเฟอร์นิเจอร์เข้ามา ทำให้มีการตัดไม้มากขึ้น ขณะเดียวกันการที่บริษัททยอยรีไฟแนนซ์หนี้ต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยลดลงมาอยู่ที่ราว 4.25% ก็จะส่งผลดีต่อภาพรวมกำไรของบริษัทด้วย

“รายได้เราน่าจะเติบโต 50% จากปีที่แล้วเพราะจะรับรู้รายได้จากกำลังการผลิตใหม่ที่จะเข้ามา เต็มที่ก็ในช่วงไตรมาส 4 เข้าไปแล้ว ในส่วนเชื้อเพลิงปีนี้น่าจะโอเค มาร์จิ้นปกติวิ่งประมาณ 35-40% ซึ่งดีกว่าปีที่แล้ว กำไรก็จะทำนิวไฮขึ้นไป”นางกนกทิพย์ กล่าว

ทั้งนี้ TPCH ยังไม่ได้ประกาศผลการดำเนินงานปี 62 ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกปี 62 ทำกำไรสุทธิได้แล้ว 277.46 ล้านบาท และมีรายได้รวม 1.23 พันล้านบาท ส่วนในปี 61 มีกำไรสุทธิ 353.9 ล้านบาท และมีรายได้รวม 1.56 พันล้านบาท

โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) แล้ว 120 เมกะวัตต์ โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าที่ COD แล้ว 60 เมกะวัตต์ และสิ้นปี 63 จะสามารถ COD ได้ครบทั้งหมด ขณะที่ภายในปีนี้มีเป้าหมายจะมี PPA ในมือครบ 250 เมกะวัตต์ โดยจะมาจากโรงไฟฟ้าชีวมวล 200 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มี 110 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 50 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มี 10 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ บริษัทอาจจะเพิ่มเป้าหมายการมีสัญญา PPA ในมือที่ระดับ 250 เมกะวัตต์ในปีนี้ โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งแรกปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลกลับมามีนโยบายที่จะส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนมากขึ้น โดยเตรียมที่จะรับซื้อไฟฟ้าตามโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน 700 เมกะวัตต์ภายในปีนี้ และบริษัทก็มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมยื่นข้อเสนอสร้างโรงไฟฟ้าชุมชนดังกล่าวด้วยเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมรูปแบบโครงการที่จะร่วมกับวิสาหกิจชุมชนในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายกำลังการผลิตแห่งละ 3 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 230-240 ล้านบาทต่อแห่ง

โดยจะส่งเสริมให้มีการปลูกพืชรากแก้ว ซึ่งมีลักษณะคล้ายหญ้าเนเปียร์ เป็นเชื้อเพลิงประเภทชีวมวล (Biomass) หรือชีวภาพ (Biogas) ได้ ซึ่งคาดว่าจะมีต้นทุนต่ำที่ราว 400 บาท/ตัน ทำให้คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนการลงทุนได้ถึงราว 15-20%

“เป้าเดิมของเราคือจะมี Biomass 200 เมกะวัตต์ แต่ตอนนี้เรามี 110 เมกะวัตต์ ก็ต้องหาให้ได้อีก 90 เมกะวัตต์ ตอนนี้เรารอความชัดเจนจากภาครัฐ พอนโยบายออกมาเป้าเราก็คงต้องขยับเพิ่มขึ้น เราก็มีรูปแบบโมเดลอยู่แล้วว่าจะทำกี่เมกะวัตต์ ส่วนใหญ่คิดว่าจะทำโรงละ 3 เมกะวัตต์ ต้นทุนจะถูกลงมาอยู่ที่ 230-240 ล้านบาทไม่เกินนี้ และเราก็มีพืชตัวนี้ให้ yield ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเนเปียร์ และให้ค่าความร้อนค่อนข้างดีกว่าเนเปียร์ ถ้ามาทำเป็น Biogas”นางกนกทิพย์ กล่าว

สำหรับในส่วนของโรงไฟฟ้าขยะชุมชน ดำเนินการโดยบริษัท สยาม พาวเวอร์ จำกัด (SP) ซึ่งบริษัทถือหุ้น 50% นั้น ปัจจุบันมีอยู่ 1 โครงการ ขนาด 10 เมกะวัตต์ ที่มีสัญญา PPA แล้วและจะจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปีนี้ ขณะเดียวกัน SP ก็ยังอยู่ระหว่างเตรียมการเพื่อจะยื่นข้อเสนอผลิตไฟฟ้าขยะชุมชนอีก 4-5 โครงการ

นอกจากนี้ บริษัทก็ยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าขนาด 10 เมกะวัตต์ ที่เตรียมเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าในช่วงไตรมาส 2/63 โดยโรงไฟฟ้าดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ทางภาคเหนือคาดว่าจะสามารถสรุปดีลได้ภายในครึ่งแรกปีนี้ มูลค่าโครงการราว 300-700 ล้านบาท หากสรุปดีลก็จะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาเลยในปีนี้

ทั้งนี้ บริษัทมีความพร้อมในด้านการเงินเพื่อรองรับการลงทุนต่าง ๆ ในปีนี้ โดยหากจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนในโครงการตามแผนงาน บริษัทอาจจะทำการออกและเสนอขายหุ้นกู้ ล่าสุดได้รับการจัดอันดับเครดิตจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่  “BBB”

 

 

Back to top button