ดาวโจนส์ปิดบวกรับผลประชุมเฟด
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นต่อเป็นวันที่สองเมื่อคืนนี้ (29 ก.ค.) หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมระยะเวลาสองวันของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ซึ่งผลไปตามคาดคือเฟดยังคงนโยบายการเงินต่อไป ขณะที่ยังไม่ส่งสัญญาณชัดเจนถึงกำหนดเวลาขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับในประเด็นที่เฟดระบุว่า ตลาดแรงงานและตลาดที่อยู่อาศัยกำลังปรับตัวดีขึ้น
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 121.12 จุด หรือ 0.69% ปิดวานนี้ (29 ก.ค.) ที่ 17,751.39 จุด, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 15.32 จุด หรือ 0.73% ปิดที่ 2,108.57 จุด และดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้น 22.53 จุด หรือ 0.44% ปิดที่ 5,111.73 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐเดินหน้าขึ้นต่อเนื่องจากวันอังคารที่ทั้ง 3 ดัชนีหลักต่างดีดตัวขึ้นแข็งแกร่งราว 1% หลังจากที่ร่วงลงติดต่อกันถึงห้าวันทำการ
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ลงมติในการประชุมครั้งล่าสุดให้คงอัตราดอกเบี้ยในช่วง 0-0.25% ต่อไป ขณะที่ระบุถึงความคืบหน้าในตลาดแรงงาน ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดยังคงเดินหน้าในความพยายามปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. หรือช่วงต่อไปในปีนี้
อย่างไรก็ตาม เฟดไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงกำหนดเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยระบุแต่เพียงว่าเฟดต้องการเห็นตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้นต่อไป และต้องการมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าอัตราเงินเฟ้อซึ่งอยู่ในระดับต่ำจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ในระยะกลาง ก่อนที่จะดำเนินการขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยคณะกรรมการ FOMC ทั้ง 10 คนลงคะแนนเสียงเห็นชอบต่อมติการประชุมในครั้งนี้ และนับเป็นการลงคะแนนอย่างเป็นเอกฉันท์เป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกัน
ในแถลงการณ์หลังการประชุม เฟดได้ระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีการขยายตัวปานกลางในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ภาคครัวเรือนมีการขยายตัว ส่วนภาคที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ เฟดยังระบุว่าตลาดแรงงานได้ปรับตัวขึ้น โดยการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่อัตราการว่างงานได้ลดต่ำลง ส่วนอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายในระยะยาว ซึ่งสะท้อนถึงการดิ่งลงของราคาพลังงาน
แถลงการณ์ระบุว่า ความเสี่ยงอยู่ในระดับใกล้เคียงภาวะสมดุล ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหม่ มากกว่าการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราเงินเฟ้อ ขณะที่เฟดจะไม่มีการประชุมนโยบายการเงินในเดือนหน้า โดยการประชุมครั้งต่อไปจะเป็นวันที่ 16-17 ก.ย. ซึ่งหมายความว่าเฟดมีเวลาอีกราว 2 เดือนในการวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ก่อนที่จะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด เน้นย้ำในการแถลงนโยบายการเงินรอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสก่อนหน้านี้ว่า เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นจะสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ การฟื้นตัวต่อเนื่องของตลาดแรงงานเป็นสัญญาณว่าเฟดยังอยู่ในแนวทางที่จะขึ้นดอกเบี้ย ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในปีนี้ แต่ขณะเดียวกัน การที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ก็อาจทำให้เฟดยังคงต้องชั่งใจเกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี
คริส โลว์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่เอฟทีเอ็น ไฟแนนเชียล ระบุว่า แถลงการณ์เฟดแสดงให้เห็นว่า ข้อมูลเศรษฐกิจในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมาผลักดันเฟดให้ขยับเข้าใกล้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปอีกนิด แต่ขณะเดียวกันเฟดก็ยังรอดูข่าวดีมากกว่านี้ก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างชัดเจน
นักวิเคราะห์หุ้นอาวุโสรายหนึ่งกล่าวว่า คนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ และแถลงการณ์เฟดครั้งล่าสุดไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ที่จะทำให้การคาดการณ์ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป ขณะที่นักลงทุนรายหนึ่งระบุว่า ในแถลงการณ์ล่าสุดนั้น ไม่มีตรงจุดไหนที่เฟดระบุชัดเจนว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งช่วยให้ตลาดคลายกังวลไปได้อีกระยะหนึ่ง
ขณะที่นักวิเคราะห์อีกรายหนึ่งกล่าวว่า การที่เฟดระบุว่าจะขึ้นดอกเบี้ยเมื่อเห็นเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืนนั้นเป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดกำลังเดินหน้าไปอีกเล็กน้อยสู่การขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งถือเป็นการเตรียมประชาชนให้พร้อมสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยภายในสิ้นปีนี้ และยังนับเป็นการช่วยบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลาที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยจริงๆ
ในส่วนของข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานวานนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ร่วงลง 1.8% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 110.3 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. หลังทำสถิติพุ่งแตะระดับสูงสุดในปีนี้ในเดือนพ.ค.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนีจะเพิ่มขึ้น 1% ในเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบรายปี ดัชนีพุ่งขึ้น 8.2% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐยังคงมีเสถียรภาพ โดยค่าดัชนีที่สูงกว่า 100 บ่งชี้ถึงการขยายตัว
ทั้งนี้ ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย เป็นมาตรวัดจำนวนสัญญาซื้อบ้านมือสองที่มีการเซ็นสัญญาแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดการขาย และโดยปกติแล้วจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนสำหรับการเซ็นสัญญาไปจนกระทั่งปิดการขาย
สำหรับความเคลื่อนไหวในภาคธุรกิจ ทวิตเตอร์ อิงค์ เผยรายได้ช่วงไตรมาสสอง แตะ 502 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทมีจำนวนผู้ใช้ที่เข้าใช้งานประจำโดยเฉลี่ยที่ 316 ล้านคนต่อเดือนในไตรมาสสอง ซึ่งเพิ่มขึ้นไม่ถึง 3% จากช่วงสามเดือนก่อนหน้า
หุ้นทวิตเตอร์ร่วง 14.50% เนื่องจากแม้รายได้ปรับตัวสูงขึ้น แต่นักวิเคราะห์มองว่า การเติบโตของผู้ใช้ที่ไม่ค่อยหวือหวาเท่าที่ควร และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้นำของบริษัทได้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
แจ็ค ดอร์ซีย์ รักษาการซีอีโอของทวิตเตอร์กล่าวในแถลงการณ์ว่า “ผลการดำเนินงานไตรมาสสองของเราแสดงให้เห็นว่าการสร้างรายได้ขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดี แต่เราไม่พอใจกับการเติบโตของผู้ใช้”