PRIME วางกลยุทธ์ “Go Asia” ลุยขยายรฟฟ.ทั่วเอเชีย ตั้งเป้าปี 66 กำลังผลิตแตะ 1,100MW

PRIME วางกลยุทธ์ "Go Asia" ลุยขยายรฟฟ.ทั่วเอเชีย ตั้งเป้าปี 66 กำลังผลิตแตะ 1,100MW


นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ ประธานกรรมการ บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME เปิดเผยว่า บริษัทวางกลยุทธ์ในปี 63 “Go Asia” มุ่งลงทุนโซลาฟาร์มในทวีปเอเชีย และ “Go Local” มุ่งพัฒนาโรงไฟฟ้าในประเทศ โดยมั่นใจว่าจะประสบผลสำเร็จในการขยายพอร์ตการผลิตไฟฟ้า จากปัจจุบัน 287 เมกะวัตต์ เป็น 1,100 เมกะวัตต์ภายใน 4 ปี (ปี 63-66)  ทั้งการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

สำหรับเป้าหมายตามแผนระยะยาวดังกล่าว แบ่งเป็นโครงการในรูปแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างหน่วยงานเอกชนกับเอกชน (Private PPA) กำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลือ 1,000 เมกะวัตต์จะมาจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าขยะ โรงไฟฟ้าชีวมวล และโครงการไฟฟ้าพลังงานลม โดยมีประเทศที่สนใจลงทุน ทั้งกัมพูชา มาเลเซีย เวียดนาม เมียนมา ออสเตรเลีย และสปป.ลาว นอกเหนือจากในประเทศไทย

โดยปัจจุบัน PRIME มีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมดรวม 287 เมกะวัตต์ โดยจ่ายไฟแล้ว 179 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างพัฒนาและก่อสร้าง 108  เมกะวัตต์ โดยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ในประเทศไทย 132.3 เมกะวัตต์ ในญี่ปุ่น 68.2 เมกะวัตต์ และไต้หวัน 8.5 เมกะวัตต์

ล่าสุด บริษัทเตรียมลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในกัมพูชา กำลังการผลิตติดตั้ง 78 เมกะวัตต์ หลังจากชนะการประมูลระดับนานาชาติที่มีผู้เข้าร่วมประมูลจากทั่วโลกกว่า 100 บริษัท โดยโครงการนี้มีสัญญาจำหน่ายไฟฟ้า 60 เมกะวัตต์ ซึ่งจะก่อสร้างที่จังหวัดกัมปงชนัง และคาดว่าจะมีโอกาสที่จะขยายการลงทุนเพิ่มเติมในประเทศกัมพูชา เนื่องจากกัมพูชาเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่กำลังขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรม จึงมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในปริมาณมาก

อีกทั้งบริษัทยังเตรียมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนของกระทรวงพลังงาน ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในเร็วๆนี้ โดยบริษัทมีความพร้อมที่จะลงทุนในโครงการ Quick Win ด้วย

“จุดแข็งของบริษัท คือ ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการ โรงไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ความได้เปรียบด้านต้นทุน มีพันธมิตรธุรกิจระดับโลก และการได้รับ การยอมรับในระดับสากล รวมถึงจากสถาบันการเงินระดับนานาชาติ อีกทั้ง ผู้บริหารของบริษัทฯ มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการ พลังงานทดแทนในไทยกว่า 10 ปี  โดยในส่วนการลงทุนต่างประเทศ บริษัทฯ มุ่งเน้นประเทศที่มีศักยภาพ การเติบโตสูงและความต้องการพลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก อาทิ ไต้หวัน เวียดนาม ลาว และ กัมพูชา”นายสมประสงค์ กล่าว

ส่วนแผนธุรกิจในปี 63 บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการขายไฟฟ้าเติบโตราว 6-7% จากปีก่อนที่มีการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ทั้งหมด 179 เมกะวัตต์ และในปีนี้จะมีการ COD เพิ่มอีก 12 เมกะวัตต์ จากโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้าง 108 เมกะวัตต์ และยังจะมีรายได้เพิ่มเข้ามาจากธุรกิจรับติดตั้งโครงการโซลาร์รูฟท็อปอีก 250-300 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในประเทศไทย ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าขยะ และโรงไฟฟ้าชีวมวล กำลังการผลิตรวมมากกว่า 100 เมกะวัตต์ โดยมีโครงการที่ศึกษาแล้วมีความเหมาะสมที่จะสามารถเข้าลงทุนได้มีกำลังการผลิตรวม 50 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนอย่างน้อย 1 โครงการในปีนี้

Back to top button