“คลัง” แจงกู้เงิน 2 หมื่นลบ.ชดเชยขาดดุลงบฯตามแผนบริหารหนี้ปกติ
"กระทรวงการคลัง" แจงกู้ 2 หมื่นล้านบาทชดเชยขาดดุลงบประมาณ เป็นไปตามแผนบริหารหนี้ปกติ ยันฐานะการคลังเข้มแข็ง
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ชี้แจงประเด็นการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณผ่านการทำสัญญากู้ยืมเงิน (Term loan) จำนวน 20,000 ล้านบาทว่า เป็นการดำเนินการของกระทรวงการคลังตามปกติทั่วไปเพื่อให้สอดคล้องกับกระแสรายได้และกระแสรายจ่ายในช่วงระยะเวลาต่างๆ ภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม
โดยผ่านมา กระทรวงการคลังได้มีการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในรูปแบบต่างๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรออมทรัพย์ สัญญากู้ยืมเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วเงินคลัง เป็นต้น โดยมีการวางแผนการกู้เงินและบริหารเงินคงคลังร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและรอบคอบรัดกุม
สำหรับการกู้เงินผ่านการทำสัญญากู้ยืมเงินในครั้งนี้ 20,000 ล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งของการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่เหลื่อมปีมาของปีงบประมาณ 2562 จำนวน 101,022 ล้านบาทจากกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณของปีงบประมาณ 2562 รวม 450,000 ล้านบาท โดย ณ สิ้นเดือน ม.ค.63 กระทรวงการคลังได้มีการกู้เงินเหลื่อมปีไปแล้วทั้งสิ้น 56,202 ล้านบาท แบ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลจำนวน 18,600 ล้านบาท พันธบัตรออมทรัพย์จำนวน 17,602 ล้านบาท และสัญญากู้ยืมเงินที่กล่าวข้างต้นจำนวน 20,000 ล้านบาท
นายลวรณ กล่าวว่า การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2563 โดยกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่ได้บรรจุไว้ เป็นวงเงินกู้ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ดังนั้น การกู้เงินในรูปแบบต่างๆของกระทรวงการคลังถือเป็นการดำเนินการปกติทั่วไป ไม่ได้แสดงถึงฐานะการคลังที่ย่ำแย่แต่อย่างใด
ทั้งนี้ ฐานะการคลังของรัฐบาลยังอยู่ในระดับที่เข้มแข็งเพียงพอต่อการรองรับมาตรการการคลังเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป สะท้อนได้จากเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน ม.ค.63 มีจำนวนทั้งสิ้น 316,370 ล้านบาท โดยที่ระดับเงินคงคลังในปัจจุบันเป็นระดับที่ได้มีการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และได้คำนึงถึงกระแสรายรับ กระแสรายจ่ายของรัฐบาล และต้นทุนการบริหารเงินแล้ว ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอในการดำเนินนโยบายของภาครัฐต่อไป และเป็นการดำเนินการภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังตามกฎหมายทุกประการ