น้ำมันดิบปิดร่วง ตลาดวิตกอุปทานตลาดโลกพุ่ง
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (31 ก.ค.) หลังจากสหรัฐรายงานว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันในตลาดโลกที่สูงเกินไป นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทพลังงานรายใหญ่อย่างเอ็กซอน โมบิล และเชฟรอน
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 1.4 ดอลลาร์ ปิดวานนี้ (31 ก.ค.) ที่ 47.12 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 1.1 ดอลลาร์ ปิดที่ 52.21 ดอลลาร์/บาร์เรล
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาดยังคงสร้างแรงกดดันให้กับตลาดน้ำมันนิวยอร์ก โดยเบเกอร์ ฮิวจ์รายงานว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้น 5 แห่ง เป็น 664 แท่น ซึ่งส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลว่า อุปทานน้ำมันในสหรัฐและตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับที่สูงเกินไป
ขณะเดียวกันตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลที่ว่า อิหร่านอาจจะผลิตและส่งออกน้ำมันได้มากขึ้น เมื่อการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านมีผลบังคับใช้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะยิ่งทำให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทพลังงานในสหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันให้นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบ โดยเอ็กซอน โมบิลเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 2 ปีนี้อยู่ที่ 4.2 พันล้านดอลลาร์ ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีที่แล้วที่ระดับ 8.8 พันล้านดอลลาร์ ด้านนักวิเคราะห์กล่าวว่า ผลประกอบการของเอ็กซอน โมบิล ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบ
ขณะที่เชฟรอน คอร์ปปอเรชัน เปิดเผยรายได้ไตรมาส 2 ปีนี้อยู่ที่ 571 ล้านดอลลาร์ ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีที่แล้วที่ 5.7 พันล้านดอลลาร์ โดยผลประกอบการไตรมาส 2 ของเชฟรอนออกมากย่ำแย่ที่สุดในรอบ 7 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเช่นกัน