“JLL” ชี้ศก.-การเมืองโลกผันผวน กระทบมูลค่าลงทุนซื้อขาย รร. ทั่วโลก คาดปี 63 ลด 15%
“JLL” คาดมูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมทั่วโลก ปี 63 ลด 10-15% ผลกระทบจากเศรษฐกิจและการเมืองโลกผันผวน รวมถึงวิกฤติไวรัส "โควิด-19"
เจแอลแอล (JLL) บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยมูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมทั่วโลกในปี 2563 ว่ามีแนวโน้มปรับตัวลง แม้นักลงทุนทั่วโลกยังคงสนใจหาโอกาสซื้อโรงแรม แต่ขณะเดียวกันก็ใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจเพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก ประกอบกับการเกิดวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่จีน
โดยในปี 2563 นี้ มีแนวโน้มว่าการลงทุนซื้อขายจะมีมูลค่าลดลงไปอีก 10-15% จากปี 2562 เนื่องจากนักลงทุนจะระมัดระวังมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้จะยังคงเป็นการซื้อขายที่ถือว่ามีปริมาณมาก
อย่างไรก็ตาม รายงานคาดว่า นักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนระหว่างประเทศจะเป็นกลุ่มทุนที่มีบทบาทสูงในตลาดโรงแรมทั่วโลก โดยนักลงทุนทั่วไปหมายถึงนักลงทุนที่มีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หลายประเภท ไม่เน้นลงทุนเฉพาะโรงแรม ซึ่งคาดว่าในปีนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้จะยังคงเป็นผู้ซื้อกลุ่มหลักในตลาดโรงแรม หลังจากที่ในปีที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อโรงแรมโดยนักลงทุนประเภทนี้ มีสัดส่วนคิดเป็น 70% ของมูลค่าการซื้อทั้งหมด จากเดิมที่เคยมีสัดส่วนอยู่ที่ 60% เมื่อราว 10 ปีก่อนหน้า ในขณะเดียวกัน คาดว่า มูลค่าการซื้อโรงแรมโดยนักลงทุนต่างชาติจะเพิ่มสูงขึ้นทั้งในอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย
ทั้งนี้ เจแอลแอลได้เผยแพร่รายงานที่มีชื่อว่า Hotel Investment Outlook (แนวโน้มตลาดการลงทุนด้านโรงแรม) ซึ่งเป็นรายงานรายปีที่วิเคราะห์แนวโน้มต่างๆของโลกที่มีผลต่อตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรม โดยรายงานระบุว่า ในปี 2562 ที่ผ่านมา มีการซื้อขายโรงแรมเกิดขึ้นทั่วโลกรวมมูลค่าทั้งสิ้น 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการที่เศรษฐกิจโลกรับมือกับภาวะความผันผวนได้ค่อนข้างดี ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวมีสภาพคึกคักด้วยแรงหนุนจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี มูลค่าการลงทุนซื้อขายดังกล่าวลดลง 6% เมื่อเทียบกับปี 2561 เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังมากขึ้น จากปัจจัยลบหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นวงจรการขึ้นลงของตลาดโรงแรมเอง และปัญหาความขัดแย้งทางการค้า รวมไปถึง Brexit
โดยในปี 2562 ที่ผ่านมา การลงทุนซื้อขายโรงแรมในเอเชียแปซิฟิกปรับตัวเพิ่มขึ้น 44% จากปี 2561 และสูงกว่าที่มีการประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้น 25-30% และนับเป็นปีที่สองที่ภูมิภาคนี้มีมูลค่าการลงทุนซื้อขายสูงกว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยหลักๆ มาจากการซื้อขายโรงแรมที่มีมูลค่าสูงในเกาหลีใต้ สิงคโปร์ และออสเตรเลีย
สำหรับปี 2563 นี้ คาดว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมในเอเชียแปซิฟิกจะมีมูลค่าลดลงจากปีที่แล้ว เนื่องจากรายการซื้อขายโรงแรมมูลค่าสูงจะมีไม่มากเท่าปี 2562 และคาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปี นักลงทุนจะชะลอการซื้อ เพื่อรอดูผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ขณะเดียวกัน รายงานของเจแอลแอลยังได้เผย 3 แนวโน้มสำคัญที่จะเกิดขึ้นในตลาดโรงแรมโลกปีนี้ ดังนี้
– โรงแรมแนวไลฟ์สไตล์ราคาประหยัดมาแรง โดยความต้องการของลูกค้าผู้ใช้บริการห้องพักที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นกับที่พักทางเลือกรูปแบบใหม่ๆ ทำให้บริษัทที่ดำเนินธุรกิจโรงแรมให้ความสนใจมากขึ้นในการพัฒนาโรงแรมในเขตตัวเมืองในรูปแบบโครงการที่มีขนาดเล็กกว่าที่เคยและใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มโรงแรมแนวไลฟ์สไตล์ราคาประหยัดมีจำนวนห้องพักขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว
– การเพิ่มขึ้นของนักลงทุนหน้าใหม่ โดยมีแนวโน้มว่า จะมีนักลงทุนที่ไม่เคยลงทุนในธุรกิจโรงแรมมาก่อน เข้ามาลงทุนซื้อโรงแรมมากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของแรงจูงใจด้านผลตอบแทนการลงทุนที่สูงกว่า หรือเพื่อเป็นการกระจายการลงทุน ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้ มีทั้งที่เคยและไม่เคยลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ประเภทอื่นมาก่อน
– โมเดลธุรกิจที่ให้บริการครอบคลุมมากขึ้น โดยโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ จำนวนมากขึ้นจะมีโรงแรมเป็นส่วนประกอบของโครงการ หรือโรงแรมเองจะมีพื้นที่สำหรับรองรับอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ อาทิ กรณีของโรงแรมที่เปิดให้บริการพื้นที่โคเวิร์คกิ้งสเปซ