โบรกฯชี้หุ้นไทยเสี่ยงหลุด 1,200 จุด ต่ำสุดรอบ 4 ปี แนะสะสม 16 หุ้น “ปลอดภัย-ปันผลสูง”

โบรกฯชี้หุ้นไทยเสี่ยงหลุด 1,200 จุด ต่ำสุดรอบ 4 ปี แนะสะสม 16 หุ้น “ปลอดภัย-ปันผลสูง”


นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงต่อเนื่อง หลังจากซาอุฯ เปิดฉากสงครามราคาน้ำมันโดยได้ออกมาตอบโต้รัสเซียด้วยการปรับลดราคาน้ำมัน และพร้อมที่จะเพิ่มการผลิตน้ำมัน 10 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนเมษายนนี้

โดยมีเป้าหมายที่จะชิงส่วนแบ่งตลาดจากรัสเซีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงแรง และส่งผลเชิงลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานราคาน้ำมันร่วงหนักในต้นสัปดาห์ฉุดให้ดัชนีลงมาต่ำสุด 1,255.94 จุด ถือเป็นการปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 4 ปีนับจากวันที่ 7 ม.ค. 2559 ที่ดัชนี SET ปิดต่ำสุดที่ระดับ 1,224.83 จุด

ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังกดดันตลาดต่อเนื่อง และการรายงานตัวเลขการส่งออกของประเทศจีนในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2563 ลดลง 17.2% ขาดดุลการค้า 7.09 พันล้านดอลลาร์สวนทางคาดเกินดุลการค้า 2.46 หมื่นล้านดอลลาร์ ยิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนต่อเนื่อง โดยคาดการณ์การเคลื่อนไหวของไว้ในกรอบ 1,220-1,280 จุด และมีโอกาสที่จะปรับตัวหลุด 1,200 จุดได้หากสถานการณ์ต่างๆ เลวร้ายลงกว่าเดิม

“ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงวิกฤตและปรับตัวลงลงมาต่อเนื่องจากปัจจัยด้านลบต่างๆ ตั้งแต่ปัญหาสงครามการค้า และต่อมาด้วยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ขยายวงกว้างออกไป และมีผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนเพิ่มขึ้นสร้างความตื่นตระหนก และส่งผลกระทบเศรษฐกิจโลก ทำให้เฟดหั่นดอกเบี้ย แบบ “ฉุกเฉิน” 0.5% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.00-1.25% และล่าสุดต้องเผชิญกับสงครามราคาน้ำมัน หลังจากผลการเจรจาของกลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตรไม่เป็นผล และซาอุฯเตรียมงัดข้อรัสเซีย ประกาศเพิ่มการผลิตน้ำมัน 10 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนเมษายนนี้” นางสาววิลาสินี กล่าว

สำหรับการประชุมคุณรัฐมนตรี (ครม.)ในวันนี้(10 มี.ค.) จะพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงต้องจับตาต่อไปว่าจะมีมาตรการอะไรที่มีผลเชิงบวกกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้มากน้อยระดับไหน

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้น นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก แนะนำทยอยสะสมหุ้น Defensive เช่น RATCH, TTW, ADVANC และ CHG หุ้น High Dividend Yield เช่น KKP, TISCO และ INTUCH และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเก็งกำไรว่ากนง. จะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคมนี้ เช่น BAM, MTC, BFIT และ AMANAH สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานแนะนำ “Wait & See” โดยหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันลดลงเรียงลำดับมากไปน้อย ได้แก่ PTTEP, PTTGC PTT, TOP และ SPRC

ส่วนราคาทองคำ นายณัฐวุฒิ  ประเมินว่า ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐและ LIBOR ยังปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจากความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 อีกทั้งซาอุดิอาระเบียประกาศลดราคาน้ำมันที่ส่งออกขายทั่วโลกลง 6-8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลและมีแผนผลิตน้ำมันเพิ่มเป็นมากกว่า 10 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนเม.ย. 63 ส่งผลให้หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันปรับตัวลง ส่งผลให้นักลงทุนหันมาซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มเติม มองกรอบราคาทองคำในสัปดาห์นี้ที่ 1,675-1,720 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือคิดเป็นราคาทองคำไทยที่ 24,860-25,600 บาทต่อบาททองคำ

Back to top button