JWD มั่นใจผลงานไตรมาส 1 ยังโต เล็งขาย “CSLF” ธุรกิจอาหารไต้หวันคาดสรุปปีนี้
JWD มั่นใจผลงานไตรมาส 1 ยังโต คาดรายได้ปีนี้เพิ่มกว่า 10% หาก "โควิด-19" คลี่คลายในครึ่งปีแรก เล็งขายธุรกิจอาหารในไต้หวัน-ซื้อ 2 กิจการในไทยคาดสรุปปีนี้
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) เปิดเผยว่า เบื้องต้นบริษัทฯ ยืนยันรายได้ในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3,774.96 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามหากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ยืดเยื้อยาวไปถึงช่วงไตรมาส 3/63 บริษัทจะมีการพิจารณาเป้าหมายการเติบโตอีกครั้งในช่วงจบไตรมาส 2/63 แล้ว
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/63 ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยภาพรวมการใช้พื้นที่คลังสินค้ามากกว่า 80% โดยในช่วงไตรมาส 1/63 การผลิต การดำเนินกิจการของผู้ประกอบการต่างๆยังอยู่ในภาวะปกติจึงไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
“ปีนี้หากสามารถควบคุมไวรัสโควิด-19 ได้ภายในช่วงครึ่งปีแรก เราจะเห็นการเติบโตมากในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะทุกอย่างถูกหยุดไว้หมด แต่อย่างไรก็ตามพบว่ามีลูกค้าบางส่วนที่เข้ามาใช้บริการเช่าพื้นที่เก็บสินค้าเป็นระยะเวลานานขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหากไม่จบเราก็ต้องมาพิจารณาถึงแผนการดำเนินงานใหม่อีกครั้ง”นายชวนินทร์ กล่าว
ทั้งนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการพิจารณาขายบริษัท Chi Shan Long Feng Food., LTD. หรือ CSLF ที่ประกอบธุรกิจอาหารในประเทศไต้หวัน มีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ 60% หากมีราคาขายที่เหมาะสม โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทใช้เงินลงทุนไปทั้งหมดราว 220 ล้านบาท เนื่องจากก่อนหน้านี้บริษัทฯ ดังกล่าวมีแผนที่จะมาขยายตลาดในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) แต่ปัจจุบันได้ยกเลิกแผนดังกล่าวออกไป ซึ่งไม่ตรงกับแผนของบริษัทที่จะเน้นการขยายธุรกิจโลจิสติกส์ ใน AEC เป็นหลัก
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในประเทศไทย 2 บริษัท เกี่ยวกับโลจิสติกส์ ยานยนต์ ขนส่งสินค้าข้ามแดน และขนส่งสินค้า (Cargo) โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนและได้ข้อสรุปภายในปี 63 นี้ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท
ส่วนของมาตรฐานบัญชีใหม่ ( IFRS9) จะเป็นผลกระทบหลักไปยังอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่จะปรับตัวสูงขึ้นเป็น 1.8 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.3 เท่า แต่อย่างไรก็ตามยังอยู่ในระดับที่ไม่มากนัก เนื่องจากบริษัทสามารถรับได้สูงสุดที่ไม่เกิน 2.5 เท่า
สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วง 3-5 ปี (63-67) ว่า บริษัทเตรียมขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT เพิ่มเติม โดยปัจจุบันมีพื้นที่อยู่กว่า 1 ล้านตารางเมตรที่บริษัทบริหารจัดการอยู่ ซึ่งมีพื้นที่ที่มีศักยภาพการในการขายรวมเป็นมูลค่าราว 1,500-3,000 ล้านบาท จะเริ่มขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์อีกครั้งในปี 64 มูลค่าราว 1,500 ล้านบาท