MAJOR ไหลต่อ 9% นิวโลว์รอบ 8 ปีหลังปิดโรงหนัง โบรกฯประเมินแย่สุดขาดทุน 32 ลบ./เดือน

MAJOR ไหลต่อ 9% นิวโลว์รอบ 8 ปีหลังปิดโรงหนัง โบรกฯประเมินแย่สุดขาดทุน 32 ลบ./เดือน ล่าสุดอยู่ที่ 12.90 บ. ลบ 1.30 บ. หรือ 9.15% มูลค่าซื้อขาย 34.06 ลบ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR ล่าสุด ณ เวลา 11.03 น. อยู่ที่ 12.90 บาท ลบ 1.30 บาท หรือ 9.15% สูงสุดที่ 14 บาท ต่ำสุดที่ 12.90 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 34.06 ล้านบาท

โดยราคาหุ้นปรับตัวลงต่อเนื่อง 2 วันติด ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 8 ปี นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 12.90 บาท เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2554 หลังที่ประชุม ครม.วานนี้ (17 มี.ค.) เห็นชอบมาตรการ 6 ด้านเพื่อลดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้แก่ มาตรการด้านสาธารณสุข ,มาตรการด้านเวชภัณฑ์ป้องกัน ,มาตรการด้านข้อมูล การสื่อสารข้อมูลค่าง ๆ ของรัฐบาล , มาตรการด้านต่างประเทศ ,มาตรการช่วยเหลือเยียวยา และมาตรการด้านมาตรการป้องกัน ลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรคในสถานที่ต่างๆ ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งรวมถึงโรงภาพยนตร์ โดยให้ปิดชั่วคราวเป็นเวลา 14 วัน โดยให้ปิดชั่วคราวตั้งแต่วันนี้ (18 มี.ค.) ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

ทั้งนี้ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จากกรณี MAJOR หยุดให้บริการโรงภาพยนตร์ทุกโรงทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นเดือน เพื่อสนองนโยบายภาครัฐที่ต้องการให้ประชาชนปลอดภัยจากการติดเชื้อโควิด-19 ทั้งนี้การหยุดให้บริการดังกล่าว ส่งผลกระทบกับ MAJOR ไม่มากนัก เพราะโรงภาพยนตร์ราว 70% MAJOR จ่ายค่าเช่าตามสัดส่วนรายได้จากการขายตั๋วภาพยนตร์ ขณะที่ 30% ของโรงภาพยนตร์มีอัตราค่าเช่าขั้นต่ำ หรือ minimum guarantee

อย่างไรก็ตาม MAJOR สามารถเจรจาไม่จ่ายค่าเช่าในสถานการณ์เช่นนี้ โดย MAJOR มีค่าใช้จ่ายหลักคือ เงินเดือนพนักงาน ซึ่งอยู่ที่ราว 60 ล้านบาท ทั้งนี้ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน MAJOR ได้ปลดพนักงาน parttime ทั้งหมดออกไปก่อนชั่วคราว ซึ่งจะประหยัดเงินเดือนได้ราว 20 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของเงินเดือน 40 ล้านบาท พนักงานทุกคนยินดีให้ความร่วมมือลดเงินเดือนชั่วคราว เพื่อประหยัดรายจ่าย

นอกจากนี้ MAJOR ได้หยุดงบลงทุนการเปิดสาขาในปีนี้ออกไปก่อนจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ปกติ ทั้งนี้ ในกรณีเลวร้ายสุด MAJOR จะมีขาดทุนราว 32 ล้านบาทต่อเดือน (หลังหัก Deferred Tax Expenses 20%)

ทั้งนี้ รอ update สถานการณ์โควิด-19 ก่อนทบทวนประมาณการกำไรปี 2563 อย่างไรก็ตาม MAJOR เป็นบริษัทที่มีสภาพคล่องเหลือเยอะ โดยมีสัดส่วนหนี้มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 0.5 เท่า ผู้บริหารมั่นใจจะสามารถจ่ายเงินปันผลงวด H1/63 จากกำไรสะสมได้ ทั้งนี้ประเมินเบื้องต้น กำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 500 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 0.56 บาท อิง PER 25 เท่า มูลค่าพื้นฐานเบื้องต้นปีนี้อยู่ที่ 14 บาท ขณะที่ผลตอบแทนเงินปันผลปีนี้ไม่ต่ำกว่า 6% อย่างไรก็ตามหากปีหน้า สถานการณ์กลับมาสู่ปกติ มูลค่าพื้นฐานปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวมาอยู่ที่ 28 บาท  แนะนำ “ถือ” เพื่อรับเงินปันผล และรอสถานการณ์กลับมาสู่ภาวะปกติ

Back to top button