“คลัง” เผยภาวะศก.ไทยเดือน ก.พ.ชะลอตัว-ท่องเที่ยวทรุดหนัก เซ่นวิกฤต “โควิด-19”
“กระทรวงการคลัง” เผยภาวะเศรษฐกิจไทยเดือน ก.พ.63 ชะลอตัว-ท่องเที่ยวทรุดหนัก เซ่นวิกฤต “โควิด-19”
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือน ก.พ.63 พบว่า เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณชะลอตัวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวชะลอตัวลงมาก จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ในขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมมีสัญญาณชะลอตัวจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและปัญหาภัยแล้ง อย่างไรก็ดี การจับจ่ายใช้สอยสินค้าทั่วไปยังคงขยายตัวได้ สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่
สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนในภาพรวมมีสัญญาณทรงตัว สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่กลับมาขยายตัว 4.6% ต่อปี อย่างไรก็ดี การบริโภคในหมวดสินค้าคงทน จากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ปรับตัวลดลงที่ -15.4% และ -3.7% ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ ระดับ 52.5 เป็นผลมาจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการดำเนินชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจในอนาคต
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัว โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนและปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ชะลอตัว -10.2% และ -18.1% ต่อปี สำหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์หดตัวชะลอลงที่ -1.9% ต่อปี จากเดือนก่อนที่หดตัว -5.0% ขณะที่การจัดเก็บภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว -18.8% ต่อปี และดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างชะลอตัวที่ -2.0% ต่อปี โดยมีสาเหตุมาจากราคาเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กปรับตัวลดลง
ขณะที่เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศชะลอตัว สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาลดลง -4.5% ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัว 3.3% ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ลดลง ประกอบกับปัจจัยฐานสูงของอาวุธในการซ้อมรบในช่วงเดียวกันปีก่อน และเมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธ ยุทธปัจจัยออกแล้ว พบว่าการส่งออกสินค้าของไทยขยายตัว 1.5%
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ตลาดคู่ค้าหลักของไทย อาทิ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน ชะลอตัวลงจากเดือนก่อน อย่างไรก็ดี การส่งออกไปยังประเทศตะวันออกกลาง และอาเซียน 9 ประเทศ ยังคงขยายตัวที่ 16.4% และ 6.1% ต่อปี ตามลำดับ ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัวที่ -4.3% ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เกินดุล 3.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่วนเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน พบว่า ภาคการท่องเที่ยวชะลอตัวลงมาก ในขณะที่ภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมส่งสัญญาณชะลอตัว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยมีจำนวน 2.06 ล้านคน หรือลดลง -42.8% ต่อปี จากการลดลงในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่ลดลงถึง -84.9% และนักท่องเที่ยวประเทศอื่น ๆ อาทิ นักท่องเที่ยวประเทศเกาหลีใต้ ฮ่องกง และมาเลเซีย ที่ลดลง -72.6% -54.8% และ -39.6% ต่อปี ตามลำดับ เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
ในขณะที่ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรชะลอตัว -4.5% ต่อปี จากการลดลงของผลผลิตในหมวดพืชผลเป็นสำคัญ และภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลงเช่นกัน สะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมชะลอตัว -5.2% ต่อปี จากการลดลงของการผลิตในหมวดยานยนต์ น้ำตาล และเม็ดพลาสติก
อย่างไรก็ดี ผลผลิตอุตสาหกรรมที่ขยายตัว ได้แก่ อุตสาหกรรมเวชภัณฑ์เคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค อาหารทะเลแช่แข็ง และอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม เป็นต้น ในขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 90.2 ตามการลดลงในอุตสาหกรรมที่ผลิตเกี่ยวกับสินค้าในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นต้น
ทั้งนี้ เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.7% ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.5% ต่อปี สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือน ม.ค.63 อยู่ที่ 41.3% ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือน ก.พ.63 อยู่ในระดับสูงที่ 229.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ