โบรกฯ มองดัชนียังผันผวน แนะ Selective buy หุ้นมีปัจจัยบวก
บล.โกลเบล็ก มอง SET ช่วงนี้ยังผันผวน แม้ศก.ตปท.ดี แต่ศก.ในปท.กดดัน ให้กรอบแกว่งตัวที่ 1,425-1,455 จุด แนะลงทุนหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวก กลุ่มสื่อสาร,ส่งออก รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับโครงการทวาย
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยจะแกว่งตัวในกรอบ 1,425 – 1,455 จุด จึงแนะนำ “ซื้อ” เล่นรอบ (ลงซื้อ/ขึ้นขาย) โดย Selective buy หุ้นที่มีปัจจัยบวก เช่นกลุ่มสื่อสาร แนะนำ ADVANC, INTUCH จากที่มีความคืบหน้าการประมูล 4G ในเดือนพ.ย. และเป็นหุ้นปันผลครึ่งปีเด่น ทั้งนี้ ADVANC ประกาศจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหุ้นละ 6.5 บาท กำหนด ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 11 ส.ค.นี้
อีกทั้งหุ้นกลุ่มส่งออกได้แก่ กลุ่มอาหารและอิเล็กทรอนิกส์ ได้อานิสงส์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า รวมทั้งหุ้นที่คาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2558 มีแววเด่น ได้แก่ PTTGC, BCP, TOP, THCOM, STPI , FSMART, MTLS,AAV และ SYNEX เช่นเดียวกับหุ้น ITD, ROJNA ได้ประโยชน์จากการเซ็นสัญญาโครงการพัฒนาทวายเฟสแรก เงื่อนไขขายพื้นที่ 60%ใน 3 ปี
ขณะที่นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยตอบรับข่าวเชิงบวกช่วงสั้น จากการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของต่างประเทศที่ออกมาดี เช่น จีนรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการในเดือนก.ค. ปรับขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือนที่ 53.8 ซึ่งดัชนีที่สูงกว่า 50 ซึ่งบ่งชี้ว่ากิจกรรมภาคบริการของจีนมีการขยายตัวจากเดือนก่อนหน้า ส่วนสหรัฐรายงานดัชนีภาวะธุรกิจนิวยอร์กในเดือนก.ค. พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือนที่ระดับ 68.8
อีกทั้งสถานการณ์ของกรีซ ก็มีความคืบหน้าเป็นลำดับ รัฐบาลกรีซคาดว่าจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับข้อตกลงให้ความช่วยเหลือทางการเงินกับทางเจ้าหนี้ได้ก่อนครบกำหนดชำระหนี้งวดใหม่มูลค่า 3.2 พันล้านยูโรให้กับธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 20 ส.ค.58
ส่วนปัจจัยบวกในประเทศมาจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐมีการเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่ในช่วงสุดท้ายก่อนสิ้นงวดในเดือนก.ย. โดยขณะนี้มีการเบิกจ่ายงบแล้วกว่า 74% และก่อนสิ้นปีงบประมาณรัฐน่าจะสามารถเบิกจ่ายได้ถึง 90% และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่ำที่สุดในรอบ 6 ปีสนับสนุนการส่งออกในช่วงครึ่งหลังปี 58
ขณะที่ปัจจัยลบเป็นเรื่องที่กระทรวงพาณิชย์พิจารณาทบทวนเป้าหมายการส่งออกของไทยในปี 58 ใหม่จากเดิมขยายตัวเล็กน้อยเป็นทรงตัวหรือหดตัวหลังจากถูกจัดอันดับอยู่ที่ระดับต่ำสุด (Tier 3) ในรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ของประเทศไทย และการได้รับใบเหลืองจากกฎระเบียบเพื่อต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมายจากสหภาพยุโรป (IUU) ตั้งแต่เดือนเม.ย. 58 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกอาหารทะเลและการส่งออกสินค้าประเภทอื่นด้วย
รวมทั้งกรณีที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา ส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ ทำให้ตลาดกลับมากังวลในเรื่อง fundflow อีกครั้ง
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก คาดว่าราคาทองคำแกว่งตัวผันผวนในช่วงต้นสัปดาห์หลังรายงานดัชนีต้นทุนการจ้างงาน (ECI) ในสหรัฐ ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนแรงงานที่กว้างที่สุด ขยับขึ้นเพียง 0.2% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบ 33 ปี และน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6%
ทั้งนี้ดัชนี ECI ถือเป็นมาตรวัดที่น่าเชื่อถือสำหรับภาวะตลาดแรงงาน และเป็นตัวคาดการณ์ที่ดีสำหรับอัตราเงินเฟ้อ ทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า เฟดอาจชะลอการตัดสินใจเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาในทองคำ
อย่างไรก็ตามราคาทองยังมีแรงกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟด จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังประธานเฟด สาขาแอตแลนตาเผยว่าเศรษฐกิจของสหรัฐมีความพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบทศวรรษ ซึ่งได้ส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่เฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนก.ย.ขณะที่นักลงทุนรอดูข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐเดือนก.ค.ที่จะรายงานในคืนวันศุกร์ที่ 7 ส.ค.นี้เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยที่เฟดจะใช้ประกอบการพิจารณาในการปรับนโยบายการเงินถ้าหากตัวเลขด้านตลาดแรงงานออกมาแข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำ
ดังนั้น ประเมินว่าราคาทองมีโอกาสฟื้นตัวช่วงสั้น แม้แนวโน้มหลักราคาทองยังอยู่ในทิศทางขาลงและมีแนวต้านสัญญาณ DEAD CROSS กดดันอยู่ อย่างไรก็ตามในระยะสั้นราคาทองยังอยู่ในกรอบพักตัวออกข้าง พร้อมกับค่าสัญญาณ RSI ลงมาในเขต OVER SOLD และเกิดสัญญาณ BULLISH DIVERGENCE ส่งผลให้ราคามีโอกาสฟื้นตัวขึ้นทางเทคนิค แต่จะปรับขึ้นเป็นรอบสั้นๆเท่านั้นเนื่องจากแนวโน้มลงยังกดดันอยู่โดยให้แนวรับ 1,075-1070 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,100 -1,105 เหรียญต่อทรอยออนซ์