“พาณิชย์” พลิกโควิด เป็นโอกาส เตรียมจับมือภาคผลิต-ส่งออก ฟื้นฟูศก. หลังวิกฤติคลี่คลาย
"กระทรวงพาณิชย์" เตรียม จับ มือภาคผลิต-ส่งออก "พลิกโควิด เป็นโอกาส" ฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลังวิกฤติคลี่คลาย
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า จากการที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ได้มอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ เตรียมการร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อ “พลิกโควิด เป็นโอกาส”
โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มสินค้าและบริการที่มีศักยภาพของไทย ทั้งสินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ข้าว ผลไม้ต่างๆ อาหารสำเร็จรูป ไก่ อาหารทะเล และภาคบริการ เช่น ร้านอาหาร แฟรนไชส์ โลจิสติกส์ และดิจิทัลคอนเทนต์ ซึ่งจะหารือกับเกษตรกร, สหกรณ์, ผู้ประกอบการขนาดใหญ่และขนาดกลางขนาดย่อม, ตลาดการค้าส่งค้าปลีก, โมเดิร์นเทรด, แพลตฟอร์มออนไลน์ และผู้ส่งออก โดยเป้าหมายใหญ่คือ เตรียมพลิกฟื้นเศรษฐกิจทั้งภาคการผลิตและการตลาดในช่วงหลังโควิด ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจการค้าโดยรวม รวมทั้งเศรษฐกิจฐานรากในที่สุดด้วย
“กรมต่างๆ กำลังจัดเตรียมกำหนดการให้รองนายกฯ จุรินทร์ ได้รับฟังปัญหา หาวิธีการแก้ปัญหาในพื้นที่ และวางแผนการทำงานในอนาคต ร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ หลากหลายในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.63 นี้ ซึ่งต้องการให้กระทรวงพาณิชย์มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม และใช้กลไกที่กระทรวงมีอยู่แล้ว เช่น พาณิชย์จังหวัด พาณิชย์ต่างประเทศ เสริมกับเครื่องมือสมัยใหม่ เช่น การค้าออนไลน์ แอปพลิเคชั่น และหาแนวทางการเชื่อมโยงกลไกของกระทรวงพาณิชย์กับองค์กรภาคเอกชนทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น เช่น สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม เป็นต้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าไทยทั้งในประเทศ และการส่งออก” น.ส.พิมพ์ชนก กล่าว
นอกจากนี้ นายจุรินทร์ ยังได้สั่งการให้พิจารณาของบประมาณเพิ่มเติมหากจำเป็น เช่น เตรียมเงินกองทุนช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ไว้สำหรับเกษตรกรด้วย โดยเห็นว่าแม้สถานการณ์โควิดจะยังไม่หมดสิ้นไป แต่กระทรวงพาณิชย์จะอยู่เฉยไม่ได้ ต้องเร่งเตรียมการไว้ เมื่อมีโอกาสเราจะได้ขับเคลื่อนการค้าได้ทันที
น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเตรียมการสำหรับการหารือกับกลุ่มต่างๆข้างต้น สนค.ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์การนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และคัดเลือกมา 37 รายการสินค้าศักยภาพ ที่บางรายการตลาดโลกยังอาจจะนำเข้าจากไทยเพิ่มได้ เช่น กุ้งแช่เย็นแช่แข็ง ซึ่งปัจจุบันไทยมีสัดส่วนในตลาดโลกเพียง 4.4% หรือลิ้นจี่ ที่ไทยมีสัดส่วนตลาดโลก 6% ในขณะที่สินค้าบางรายการไทยทำได้ดีอยู่แล้วแต่ต้องรักษาไม่ให้สัดส่วนลดลง เช่น ข้าวสาร ทูน่ากระป๋อง และไก่แปรรูป ซึ่งมีสัดส่วนตลาดโลกที่ 24.6%, 27.3% และ 31.2% ตามลำดับ
นอกจากรายการสินค้าศักยภาพแล้ว สนค. ได้ศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาหารในอนาคต (Future food trends) โดยคัดเลือกมา 6 แนวโน้มที่ไทยอาจจะรุกตลาดให้มากขึ้น ได้แก่ (1) ตลาดอาหารรักษาสุขภาพ (2) อาหารที่มีการผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (3) สินค้าพรีเมี่ยมที่มีจุดขายเฉพาะ เช่น น้ำตาลต่ำ อาหาร plant-based หรือคีโต (ketogenic) (4) อาหารสำหรับกลุ่มผู้สูงวัย (5) การให้ข้อมูลกับผู้บริโภคมากขึ้นและโปร่งใส และ (6) สินค้าที่มีเรื่องราว เช่น สินค้า GI, OTOP เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีสินค้าฮาลาลอีกกลุ่มหนึ่ง ที่กระทรวงพาณิชย์จะสนับสนุนต่อไป ซึ่งทั้งหมดนี้ จะประมวลเป็นแผนงานให้รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ต่อไป