“สธ.” เตรียมออกมาตรการเข้ม ป้องกัน “โควิด” ก่อนชงปลดล็อกดาวน์ นำร่อง 3-4 จังหวัดปลอดเชื้อ
"กระทรวงสาธารณสุข" (สธ.) เตรียมออกมาตรการป้องกัน "โควิด-19" เข้มข้น ก่อนชงปลดล็อกดาวน์ นำร่อง 3-4 จังหวัดปลอดเชื้อ
นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ อดีตนายแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค ในฐานะที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตรียมออกมาตรการคุ้มครองด้านความปลอดภัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก่อนเสนอปลดล็อกกิจกรรมบางส่วน โดยเฉพาะที่มีความเสี่ยงต่ำ
ทั้งนี้ อาจจะทดลองนำร่องตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย.นี้ ใน 3-4 จังหวัดที่ไม่พบผู้ติดเชื้อ ซึ่งขณะนี้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กำลังร่วมกันวางแผนที่จะหาแนวทางในการเปลี่ยนผ่านหลังสถานการณ์คลี่คลาย
“การเปลี่ยนผ่านแบบระมัดระวัง ไม่ฉับไว พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ จนทำให้เกิดการแพร่ระบาดระลอกที่สอง ระลอกที่สาม ทำให้เกิดความสมดุลในการดำรงชีวิตและการดำเนินธุรกิจ แต่คงไม่สามารถกลับไปเหมือนเดิมทุกอย่าง เช่น จะไปนั่งรอตัดผมเหมือนเดิมไม่ได้ ต้องโทร.จอง หรือการนัดกินข้าวร่วมกันเป็นสิบคน” นพ.คำนวณ กล่าว
โดยขณะนี้ภาคธุรกิจกำลังร่วมกันประเมินสถานการณ์ว่ามีกิจการใดที่มีความเสี่ยงสูงหรือเสี่ยงต่ำ เพื่อดำเนินแก้ไขก่อนที่จะมีมาตรการผ่อนคลาย
สำหรับกิจการที่มีความเสี่ยงต่ำ ยกตัวอย่าง ร้านอาหาร ร้านตัดผม สวนสาธารณะ ส่วนกิจการที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งอาจต้องปิดยาว คือ สถานบันเทิง ผับ คลับ บาร์ คาราโอเกะ สถานประกอบการที่มีกิจการทางเพศทั้งทางตรงทางอ้อม รวมถึงสถานเล่นพนัน สนามมวย สนามบอล และสถานที่ที่มีความคับแคบแออัด
อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายมาตรการนั้นจะพิจารณาจากจังหวัดที่มีสถานการณ์คลี่คลายก่อน เริ่มจากกลุ่มแรก 32 จังหวัดที่ไม่มีการแพร่เชื้อในรอบ 2 สัปดาห์ โดยจะดำเนินการเป็นการนำร่อง 3-4 จังหวัดในช่วงปลายเดือน เม.ย.หลังจากนั้น 2 สัปดาห์จะดำเนินการกับกลุ่มต่อมาอีก 38 จังหวัดที่มีการติดเชื้อประปรายในช่วงกลางเดือน พ.ค.และที่เหลืออีกจะผ่อนปรนมาตรการในช่วงต้นเดือน มิ.ย.
ในส่วนของหลักเกณฑ์การพิจารณาผ่อนคลายมาตรการนั้นจะดูจากองค์ประกอบหลายอย่างเช่น ความหนาแน่นของคน เพราะหากมีความหนาแน่นมากก็จะมีความเสี่ยงสูง, กิจกรรมที่มีคนเข้าไปตะโกนเชียร์ที่ทำให้มีการแพร่กระจายเชื้อจากสารคัดหลั่ง, สถานที่ที่มีความแออัด คับแคบ อากาศถ่ายเทไม่ดี และการจัดระยะห่างทางสังคม ทั้งนี้ ภาคธุรกิจจะไปพิจารณาแนวทางแก้ไข หากกิจกรรมใดที่มีความเสี่ยงสูงก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
“ทุกขณะจะมีการเฝ้าระวังอย่างเรียลไทม์ทันเหตุการณ์ เกิดขึ้นในระดับประเทศ จังหวัด อำเภอ เพื่อให้รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเมื่อไหร่สถานการณ์ปกติก็จะเดินหน้าไป แต่ถ้าเมื่อไหร่สถานการณ์ไม่ดีก็จะมีการเตือน ชะลอ ไม่ใช่จะเดินหน้าไปเป็นดุ่ย ๆ ถ้ามีอันตรายก็จะหยุด หรือถอยกลับมาให้คนระมัดระวังตัวอยู่กับบ้าน ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัด” นพ.คำนวณ กล่าว