“สธ.” ชี้ปชช. 4% ไม่สวมหน้ากากอนามัย หวั่นแพร่เชื้อ-เสี่ยงติด “โควิด-19”!
"กระทรวงสาธารณสุข" (สธ.)เปิดผลสำรวจ พบปชช. 4% ไม่สวมหน้ากากอนามัย หวั่นแพร่เชื้อ-เสี่ยงติด "โควิด-19"!
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยวานนี้ (26 เม.ย.63) ถึงผลสำรวจพฤติกรรมการสวมหน้ากากป้องกันโรคของประชาชนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ครั้งล่าสุด พบประชาชนร้อยละ 4 ไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการไข้ และหวัด เช่น ไอ จาม มีน้ำมูก ชี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรกระทำเพราะเสี่ยงทั้งแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่นและรับเชื้อเพิ่ม
โดยนพ.โสภณ ระบุว่า ในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงที่ประชาชนเริ่มผ่อนคลายจากจำนวนผู้ป่วยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีการเดินทาง พบปะกันมากขึ้น ดังนั้นสิ่งสำคัญ คือ ต้องเข้มงวดมาตรการป้องกันโรค การรักษาระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร สวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ ไม่สัมผัสจมูก ปาก หรือขยี้ตา
ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคได้ทำการสำรวจพฤติกรรมการสวมหน้ากากของประชาชนในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ต่อเนื่อง จำนวน 5 ครั้ง โดยครั้งที่ 5 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าเมื่อมีอาการไข้ และหวัด เช่น ไอ จาม มีน้ำมูก ประชาชนจะสวมหน้ากากป้องกันการแพร่เชื้อถึงร้อยละ 83 และสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันไม่ให้รับเชื้ออีกร้อยละ 12 แต่มีร้อยละ 4 ที่ตอบไม่สวมหน้ากากป้องกัน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่น่าเป็นห่วงที่จะแพร่โรคให้คนอื่นได้
“ต้องขอกระตุ้นเตือนสังคม เมื่อคนกลับมาทำงาน พบปะกันมากขึ้น การสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยเป็นเรื่องที่จำเป็น ต้องทำอย่างเคร่งครัด เพราะเป็นปราการด่านสุดท้ายในการป้องกันเชื้อออกจากตัวผู้ป่วย รวมทั้งเป็นการป้องกันการรับเชื้อจากผู้อื่น” นพ.โสภณ กล่าว
ในส่วนของการออกปฏิบัติการค้นหาผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อเชิงรุก โดยตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของภาคเอกชนนั้น นพ.โสภณ ระบุว่า ขอความร่วมมือให้ภาคเอกชนประสานงานกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ เพราะเป้าหมายสำคัญของการคัดกรองค้นหาผู้ติดเชื้อ เพื่อนำตัวเข้าสู่ระบบการรักษา ป้องกันการแพร่เชื้อ รวมทั้งต้องติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดมาตรวจด้วย เพื่อความปลอดภัยของคนในประเทศ