“ทริสฯ” คงเรตติ้ง ORI ที่ “BBB”  แนวโน้ม “Stable” มองความสามารถทำกำไรสูง- Backlog หนา

“ทริสฯ” คงเรตติ้ง ORI ที่ "BBB"  แนวโน้ม "Stable" มองความสามารถทำกำไรสูง- Backlog หนา


บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กร ของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ที่ระดับ “BBB” พร้อมด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทที่ปรับเพิ่มขึ้นทั้งในตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงผลการดำเนินงานที่เป็นที่น่าพอใจจากความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเดียวกันและมียอดขายที่อยู่อาศัยที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวนมากซึ่งช่วยรองรับรายได้ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ลดทอนลงจากภาระหนี้ของบริษัทที่ค่อนข้างสูงจากการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วทั้งในการพัฒนาที่อยู่อาศัยและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงอุปสงค์ที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวในระยะปานกลางอันเนื่องมาจากความเสี่ยงที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 (COVID-19) ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความกดดันให้แก่ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำอยู่ในเวลานี้

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

สำหรับความสามารถในการแข่งขันปรับตัวเพิ่มขึ้น  ทริสเรทติ้งมองว่าความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในตลาดคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้และยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นจาก 9.2 พันล้านบาทในปี 2559 เป็น 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2560 และเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 2 หมื่นล้านบาทในปี 2561 และปี 2562 โดยยอดขายในปี 2562 ประกอบด้วยยอดขายในส่วนของบริษัทเอง 1.04 หมื่นล้านบาท และยอดขายจากโครงการภายใต้กิจการร่วมค้าอีกจำนวน 9.6 พันล้านบาท

ขณะที่บริษัทเพิ่มสินค้าไปสู่ตลาดบ้านจัดสรรในปี 2560 ซึ่งโครงการของบริษัทก็ได้รับการตอบรับที่ดี รายได้จากโครงการบ้านจัดสรรของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 1.6 พันล้านบาทในปี 2562 จาก0.5 พันล้านบาทในปี 2561 ในระยะถัดไป บริษัทมีแผนเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรมากขึ้นเพื่อให้มีสัดส่วนสินค้าที่มีความสมดุลระหว่างโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรร ในปีนี้บริษัทจะเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรโครงการใหม่มูลค่าประมาณ 0.8-1.2 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้นจาก 6 พันล้านบาทในปี 2561 จึงคาดว่าสัดส่วนรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรของบริษัทจะเพิ่มเป็น 30%-40% ของรายได้รวมในช่วง 3 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ณ เดือนธันวาคม 2562 ทั้งหมด 45 โครงการ ด้วยมูลค่ารวมประมาณ 9.8 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรร 6 โครงการ คอนโดมิเนียม 31 โครงการ และคอนโดมิเนียมอีก 8 โครงการที่พัฒนาภายใต้การร่วมทุนในสัดส่วน 51:49 โดยโครงการทั้งหมดมีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3 ล้านบาทต่อยูนิต และมีมูลค่าเหลือขายทั้งสิ้น 2.67 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าเหลือขายส่วนของบริษัทเองมูลค่า 2.16 หมื่นล้านบาท และส่วนของกิจการร่วมค้าอีกจำนวน 5.1 พันล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2562 สูงกว่าประมาณการของทริสเรทติ้งเล็กน้อย ถึงแม้ว่ารายได้จะต่ำกว่าประมาณการไป 9% โดยรายได้ของบริษัทในปี 2562 อยู่ที่ 1.37 หมื่นล้านบาท ลดลง 15% จากรายได้สูงสุดที่ 1.6 หมื่นล้านบาทในปี 2561 รายได้ที่ลดลงในปี 2562 เนื่องจากยอดขายรอโอนในบางโครงการเลื่อนมาโอนในช่วงต้นปี 2563 ขณะที่ยอดขายในปี 2562 ลดลงเพียง 6.5% จากปีก่อนหน้า เป็น 2 หมื่นล้านบาทท่ามกลางผลกระทบจากเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จากยอดขายจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทำให้ยอดขายรอรับรู้เป็นรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 4.14 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งประกอบด้วยส่วนของบริษัทเองมูลค่า 1.67 หมื่นล้านบาท และส่วนของกิจการร่วมค้าอีกจำนวน 2.47 หมื่นล้านบาท

โดยมาจากยอดขายที่อยู่อาศัยที่รอรับรู้รายได้จำนวนมาก รายได้ของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ 1.0-1.1 หมื่นล้านบาทในปี 2563 ถึงแม้ว่าจะมีความกังวลต่อโรคระบาดของโควิด-19 รายได้ของบริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1.3-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2565 โดยยอดขายรอโอนของบริษัทจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ประมาณ 4.9 พันล้านบาทในปี 2563 ประมาณ 5.2 พันล้านบาทในปี 2564 ประมาณ 4.9 พันล้านบาทในปี 2565 และส่วนที่เหลือในปี 2566 ขณะที่ยอดขายรอโอนของกิจการร่วมค้าจะทยอยส่งมอบให้ลูกค้าในปีนี้เป็นต้นไป ดังนั้น บริษัทจะมีส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าประมาณ 0.2 พันล้านบาทในปี 2563 ประมาณ 0.4 พันล้านบาทในปี 2564 และอีกประมาณ 1.1 พันล้านบาทในปี 2565

 

Back to top button