โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” JMT เป้า 23 บ. ชูดาวเด่นกลุ่ม! ฟันกำไรโตแรง รับพอร์ตบริหารหนี้เพิ่ม

โบรกฯเชียร์ "ซื้อ" JMT เป้า 23 บ. ชูดาวเด่นกลุ่ม! ฟันกำไรโตแรง รับพอร์ตบริหารหนี้เพิ่ม


บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น JMT ประเมินราคาเป้าหมายที่ 23 บาท/หุ้นละมองว่าโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม โดยคาดว่ากำไรไตรมาส 1/63 จะอยู่ที่ 208 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน เป็นระดับนิวไฮรายไตรมาสต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน

ทั้งนี้เป็นผลมาจากคาดรายได้จากการให้บริการติดตามหนี้ทรงตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากโรคระบาดและเศรษฐกิจส่งผลกระทบแค่ในช่วงปลายไตรมาสเท่านั้น และคาดว่ารายได้จากลูกหนี้ที่รับซื้อเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากฐาน NPL ที่ใหญ่ขึ้นจากการที่ซื้อเข้ามาในช่วงครึ่งหลังปี 2562 บวกกับมาตรฐานบันชี TFRS9 ทำให้การรับรู้รายได้จาก NPL ที่มีหลักประกันตามเกณฑ์ EIR แม้ยังไม่ได้รับการชำระหนี้หรือขายทอดตลาดหลักประกัน (เดิมจะรับรู้รายได้เมื่อได้รับการชำระหนี้หรือขายทอดตลาดหลักประกันสำเร็จ) ขณะที่ผลกระทบจากโรคระบาทและเศรษฐกิจมีไม่มาก เนื่องจากบริษัทสามารถเลือกติดตามเจรจากับลูหนี้ที่พร้อมชำระได้จากฐานลูกหนี้ที่มีอยู่ถึง 3 ล้านราย

รวมทั้งการควบคุมค่าใช้จ่ายโดยรวมอาจดีขึ้น เนื่องจากแนวโน้มรายได้เพิ่มขึ้น แต่บริษัทเน้นเพิ่มประสิทธิภาะและใช้ระบบ AI มาช่วยในการทำงาน จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนพนักงาน ส่วนธุรกิจประกันคาดว่าจะเห็นขาดทุนมากขึ้น แม้ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นจากการขายประกัน COVID-19 แต่การรับรู้รายได้จะยังเป็นการทยอยรับรู้ในช่วง 13 เดือน ขณะที่รายได้ที่เกี่ยวข้องกับการขาย อาทิ ค่าคอมมิชชั่น บันทึกเข้ามาทันที

อย่างไรก็ตามยังคงประมาณการกำไรสำหรับปี 2563 ที่ 850 บาท เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยมองช่วงที่เหลือของปี ปลประกอบการจะยังแข็งแกร่ง แม้ในไตรมาส 2/63 การเติบโตของรายได้อาจจะชะลอตัวไปบ้างจากผลกระทบของ COVID-19 และการเร่งติดตามหนี้บางกองที่ใกล้ตัดต้นทุนครบ แต่ในครึ่งปีหลังอาจเห็นรายได่และกำไรเติบโตได้ดี เนื่องจากหากตัดต้นทุนหนี้บางกองหมดจะรับรู้รายได้ 100% บนกองหนี้นั้น

นอกจากนี้ยังมีโอกาสให้ซื้อหนี้ได้มาก เนื่องจากในปัจจุบัน NPL จากสถาบันการเงินเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วงไตรมาส 1/63 บริษัทได้ซื้อหนี้สำเร็จคิดเป็นมูลหนี้กว่า 5 พันล้านบาทแล้ว ส่วนใหญ่เป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน ซึ่งฐานหนี้ที่ใหญ่ขึ้นจะเป็นปัจจัยบวกต่อรายได้และกำไรในระยะยาว

ส่วน บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น JMT ประเมินราคาเป้าหมายที่ 21.80 บาท/หุ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/63 เท่ากับ 204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 9.7% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากคาดการรายได้ธุรกิจซื้อหนี้มาบริหารที่ยังเพิ่มึข้น 37.5% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากรายได้รับรู้เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของพอร์ตหนี้ไม่มีหลักประกันที่ซื้อเข้ามาคิดเป็นมูลค่าหนี้กว่า 1 หมื่นล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลังปี 2562

ขณะที่คาดว่าสัดส่วน Cost Income Ratio ในงวดนี้ลดลงสู่ระดับ 14.1% จาก 14.5% ในงวดไตรมาส 4/62 จากการควบคุมค่าใช้จ่ายโดยไม่เพิ่มพนักงาน สวนทางกับแนวโน้มรายได้ที่เติบโตขึ้นต่อเนื่องในงวดนี้ ซึ่งสามารถหักล้างกับค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้เพิ่มอีก 2 พันล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี ในเดือนมี.ค.2563 และธุรกิจประกันภัยที่คาดว่าจะยังขาดทุนเพิ่มขึ้นในงวดนี้ จากการขายประกัน COVID-19 ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่บริษัทต้องรับรู้รายได้เฉลี่ย 13 งวด ขณะที่ต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายในการขายเต็มจำนวนในไตรมาส 1/63ทั้งนี้ประมาณการข้างต้นยังไม่รวมผลบวกชั่วคราวจากการปรับมาตรฐานบัญชี TFRS9 ที่อาจทำให้แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1/63 ดีกว่าคาด

ทั้งนี้ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2563-2564 จะเพิ่มขึ้น 24.4% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 20.8% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ขับเคลื่อนด้วยรายได้จากธุรกิจบริหารหรี้ที่เร่งตัวขึ้น สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของพอร์ตลูฏหนี้ และการตัดมูลค่าเงินลงทุนในลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่หมดลงอย่างต่อเนื่อง พร้อมโอกาสในการเลือกซื้อหนี้ด้อยคุณภาพที่ยังเปิดกว้าง จากการทยอยขายหนี้ของธนาคารพาณิชย์ ออกมาเพิ่มในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/63 จะอ่อนตัวลงจากไตรมาส 1/63 จากกระแสเงินสดจัดเก็บที่อาจจะลดลงไปบ้างจากการแพร่ระบาทของ COVID-19 แต่การเร่งเก็บหนี้ที่ใกล้ตัดต้นทุนครบ 100% ซึ่งจะมีการรับรู้รายได้น้อยลงในช่วงท้ายของการจัดเก็บ แต่จะเป็นฐานสำหรับการเติบโตต่อในช่วงครึ่งปีหลังปี 2563

ด้าน บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น JMT ประเมินราคาเป้าหมายที่ 21.60 บาท/หุ้น โดยมองว่าในช่วงครึ่งแรกปี 2563 ที่ยากลำบาก แต่กลุ่มบริหารสินทรัพย์จะเอาตัวรอดได้ดี โดยเฉพาะ JMT จะโดดเด่นที่สุดที่ยังรักษาการเติบโตของเงินสดเรียกเก็บ และกำไรสุทธิ 20-30% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเก็บหนี้ได้รับผลกระทบแต่จำกัดแม้ในช่วงล็อคดาวน์จากฐานลูกค้าที่กระจายตัว และมีโอกาสฟื้นตัวต่อหลังเริ่มเปิดเมือง ขณะที่พอร์ตหนี้เสียเติบโตสอดคล้องกับมุมมองของ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)

ทั้งนี้คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/63 อยู่ที่ 190 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 5% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี ความสามารถชำระลูกหนี้ยักใกล้เคียงกับก่อนที่ COVID-19 ระบาด คาดเงินสดเรียกเก็บทำได้ 870 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23%  เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 6% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน แม้จะเป็น Low Season ของการเก็บหนี้เทียบจากไตรมาสก่อน เติบโตตามพอร์ตหนี้ที่ 1.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 23%  เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน

ขณะที่ธุรกิจประกันรับรู้ผลขาดทุนแต่ลดลงจากไตรมาสก่อร ส่วนหนึ่งมาจากค่าคอมมิชชั่นจากการขายประกัน COVID-19 ที่จะเริ่มรับรู้กำไร โดยไตรมาส 1/63 เป็นไตรมาสแรกที่ปรับใช้ TFRS9 แต่ไม่ได้ทำให้ความสามารถทำกำไรเปลี่ยนไป ประเมิน NPM ยังคงสูง 28% เช่นไตรมาสมาสก่อน

ขณะที่ราคาหุ้น JMT ล่าสุด ณ เวลา 11.28 น. อยู่ที่ 18.50 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 3.35% สูงสุดที่ 18.70 บาท ต่ำสุดที่ 18 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 156.87 ล้านบาท จึงยังคงมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายที่ 23 บาท อยู่ 24.32%

Back to top button