GULF บุ๊ค 12 “โรง SPP” พ่วง “โซลาร์เวียดฯ” เต็มงวด หนุนกำไรหลัก Q1/63 โตต่อ 38%
GULF บุ๊ค 12 "โรง SPP" พ่วง "โซลาร์เวียดฯ" เต็มงวด หนุนกำไรหลัก Q1/63 โตต่อ 38%
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/2563 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 มีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) เป็น 925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.9% เมื่อเทียบจากไตรมาส 4/2562 และ 8% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการที่โครงการโรงไฟฟ้า IPP ทั้ง 2 โครงการ (3,200 เมกะวัตต์) ได้รับค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment) มากขึ้น ประกอบกับกลุ่ม SPP ทั้งหมดยังสามารถขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติลดต่ำลง จาก 282 บาท / ล้านบีทียู ในไตรมาส 1 ปี 2562 เป็น 267 บาท / ล้านบีทียู ในไตรมาส 1/2563 ในขณะที่ค่า Ft ยังคงเท่าเดิม ทำให้บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น นอกจากนี้ ในไตรมาส 1/2563 ยังมีการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากการเปิดดำเนินการของ SPP 12 โครงการ เมื่อเทียบกับ 10 โครงการในไตรมาส 1/2562 และจากการรับรู้เต็มไตรมาสของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เวียดนาม จำนวน 2 โครงการ
อีกทั้ง รับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล กัลฟ์ จะนะ กรีน ที่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2563 มีโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้นตามสัดส่วนการถือหุ้น (Equity MW) เท่ากับ 2,726 เมกะวัตต์ เมื่อเทียบกับ 2,477 เมกะวัตต์ในไตรมาส 1/2562 หรือเพิ่มขึ้น 249 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างมีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนงาน โดย IPP ทั้ง 2 โครงการ ได้แก่ GSRC และ GPD ขนาด 5,300 เมกะวัตต์ มีกำหนดที่จะเปิดดำเนินการตามแผนระหว่างปี 2564 ถึง 2567 โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง ซึ่งเป็น IPP ขนาด 1,400 เมกะวัตต์ จะเริ่มก่อสร้างในปี 2564 และมีกำหนดเปิดดำเนินการตามแผนในปี 2567 และ 2568 โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ซึ่งเป็น IPP ขนาด 540 เมกะวัตต์ จะเริ่มก่อสร้างในปี 2567 และมีกำหนดเปิดดำเนินการตามแผนในปี 2570 โดยหลังจากที่ทุกโครงการเปิดดำเนินการแล้ว ทำให้กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,781 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ การพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น โครงการท่าเรือมาบตาพุต เฟส 3 โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 มีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ สำหรับโครงการมอเตอร์เวย์ สาย M6 และ M81 คาดว่าจะมีการลงนามสัญญา PPP ในเดือนมิถุนายน 2563
สำหรับผลกระทบจาก COVID-19 ในภาพรวมทั้งปี บริษัทฯ คาดว่าจะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการ เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ประมาณ 90% ขายให้ กฟผ. มีเพียงแค่ 10% ที่ขายให้ลูกค้าอุตสาหกรรม โดยในไตรมาส 1 ปี 2563 ลูกค้าอุตสาหกรรมโดยรวมยังไม่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และบริษัทฯ ยังมีรายได้จากการไฟฟ้าให้กับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อนอีกด้วย
ขณะที่ลูกค้าอุตสาหกรรมยังมีการกระจายตัวอยู่ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมและบริษัทฯ ยังมีการขยายฐานลูกค้าอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม เฟส 1 ขนาด 30 เมกะวัตต์ ที่เวียดนาม ได้มีการเลื่อนกำหนดการเปิดดำเนินการจากสิ้นปี 2563 ไปเป็นพฤษภาคม 2564 เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องการเดินทางของผู้รับเหมาจากประเทศจีนในช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ โครงการยังคงได้รับค่าไฟฟ้าในอัตรา 9.8 c/kWh ตามแผน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสในการลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่นธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะใช้กระแสเงินสด และการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน หรือการออกหุ้นกู้ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจดังกล่าว โดยมีแผนที่จะออกหุ้นกู้ประมาณ 10,000 ล้านบาทในกลางปีนี้ เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ 1.51 เท่า
ทั้งนี้ ผลประกอบการสุทธิของ GULF ในงวดไตรมาส 1 ปี 2563 มีผลขาดทุนสุทธิ 413.25 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการบันทึกผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนทางบัญชี ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกระแสเงิดสดบวกที่มีการขยายตัวขึ้นตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วงระหว่างงวด