MILL พุ่งเฉียดซิลลิ่ง-นิวไฮรอบ 5 เดือน คาดเก็งฯผลงานปีนี้เทิร์นอะราวด์-หุ้นต่ำบุ๊ก
MILL พุ่งเฉียดซิลลิ่ง-นิวไฮรอบ 5 เดือน คาดเก็งฯผลงานปีนี้เทิร์นอะราวด์-หุ้นต่ำบุ๊ก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL ณ เวลา 11.24 น. อยู่ที่ระดับ 0.77 บาท บวก 0.09 บาท หรือ 13.24% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 0.92 ล้านบาท ราคาหุ้นพุ่งเฉียดซิลลิ่งของวันที่ระดับ 0.78 บาท และทำนิวไฮในรอบ 5 เดือนโดยนับตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 0.77 บาท เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.62 คาดเก็งกำไรผลงานปีนี้ฟื้นตัวเด่น หลังแจ้งงบไตรมาส 1/63 พลิกมีกำไร และราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีที่ระดับ 1.32 บาท
อนึ่ง นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2563 งบการเงินรวมของบริษัทมีกำไรสุทธิ 57 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 247 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ขาดทุนสุทธิ 190 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อม (EBITDA) 312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 209 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 203% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มี EBITDA จำนวน 103 ล้านบาท
สำหรับไตรมาส 1 ปี 2563 แม้ปริมาณขายผลิตภัณฑ์เหล็กรวมอยู่ที่ 227,692 ตัน ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่บริษัทยังคงสามารถผลักดันยอดขายเหล็กเส้นให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเหล็กเส้นมีปริมาณขายเพิ่มขึ้น 4 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 3,698 ล้านบาท ลดลง 870 ล้านบาท หรือลดลง 19% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2562 เนื่องจากสถานการณ์ของราคาเหล็กโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยของไตรมาสนี้ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันราคาของวัตถุดิบที่ลดลง ก็ส่งผลให้ไตรมาส1/2563 บริษัทมีต้นทุนขายและการบริการลดลง 1,092 ล้านบาท
นายประวิทย์ กล่าวต่อว่า การปรับปรุงเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ได้ส่งผลให้ไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรขั้นต้น 318 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 222 ล้าบาท หรือเพิ่มขึ้น 231% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 96 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 8.60% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 2.10%
“การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการลดลงของต้นทุนการขายและบริการ ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ออกมาค่อนข้างดี อัตรากำไรขั้นต้นขึ้นมาอยู่ที่ 8.6% แม้สถานการณ์เหล็กในตลาดโลกจะราคาลดลง แต่ต้นทุนการขายและบริการก็ลดลงเช่นเดียวกัน“ นายประวิทย์ กล่าว
นอกจากนี้ในไตรมาส 1 ปี 2563 บริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล โดยได้บันทึกเงินปันผลค้างจ่ายจำนวน 87 ล้านบาท ซึ่งได้จ่ายให้กับผู้ถือหุ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่ผ่านมา และจากผลการดำเนินตามที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้น อยู่ที่ 5,713 ล้านบาท