NVD เผยทยอยรับรู้แบ็กล็อกทั้งปี 1.8 พันลบ. พร้อมรุกช่องทางออนไลน์ หนุนผลงานครึ่งหลังสดใส
NVD เผยทยอยรับรู้แบ็กล็อกทั้งปี 1.8 พันลบ. พร้อมรุกช่องทางออนไลน์ หนุนผลงานครึ่งหลังสดใส
นายจิรเดช นุชสถิตย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายการเงิน บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) หรือ NVD เปิดเผยว่า แนวโน้มภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกคาดว่าจะหดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลกระทบของโควิด-19 ต่อภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทำให้การซื้อที่อยู่อาศัยเกิดการชะลอตัวลงไป รวมถึงการโอนโครงการเกิดความล่าช้า ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 รุนแรง ทำให้มีการล็อกดาวน์ประเทศขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือน มี.ค.-กลางเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ปัจจัยลบต่าง ๆ ส่งผลกระทบรายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/63 ให้ลดลงไปราว 60% และคาดว่าไตรมาส 2/63 อาจจะเห็นการหดตัวของรายได้ต่อเนื่อง เพราะได้รับผลกระทบเข้ามามากที่สุด แม้ว่าสถานการณ์ของโควิด-19 ในประเทศจะเริ่มคลี่คลายลง แต่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่หลังจากผ่อนคลายล็อกดาวน์ว่าจะมีโอกาสเกิดการแพร่ระบาดกลับมารอบที่ 2 หรือไม่ ทำให้บริษัทยังต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ที่ได้เลื่อนการเปิดตัวออกไปชั่วคราวเพื่อรอดูสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีโครงการใหม่ที่ชะลอการเปิดไปจำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 4.5 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการ Nirvana Collection กรุงเทพกรีฑา มูลค่า 2 พันล้านบาท โครงการ Nirvana Absolute บางนา มูลค่า 600 ล้านบาท และโครงการ Nirvana Element บางนา 1.9 พันล้านบาท
นอกจากนั้น บริษัทยังได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายมาผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งมีลูกค้าบางส่วนให้ความสนใจเข้ามาจองซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าทาวน์เฮาส์ที่เริ่มเห็นแนวโน้มยอดขายเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่มองหาคอนโดมิเนียมได้เปลี่ยนมามองหาทาวน์เฮาส์แทน จากความกังวลความเสี่ยงในการใช้พื้นที่ส่วนกลางในคอนโดมิเนียมร่วมกับผู้อื่น และต้องการพื้นที่มากขึ้นเพื่อรองรับการทำงานในรูปแบบ Work from home
อย่างไรก็ดี อุปสรรคของโครงการทาวน์เฮาส์ของบริษัทส่วนใหญ่อยู่ที่ราคาขายที่เฉลี่ย 6-7 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง และเป็นกลุ่มเฉพาะ ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสทางการตลาดที่จะพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์ระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทที่เป็น Mass Product ออกมาเพื่อขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น และสร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทในอนาคต ซึ่งแนวโน้มลูกค้าส่วนใหญ่มีความต้องการซื้อทาวน์เฮาส์ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะจากการโอน Penthouse โครงการ Banyan Tree Residences Riverside Bangkok เข้ามาหนุน และยังมีการโอนโครงการ The MOST อิสรภาพ บางยูนิตเข้ามาในช่วงปลายปี 63 จากกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4/63 ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท ส่วนใหญ่จะรับรู้ในปีนี้เกือบทั้งหมด
ส่วนรายได้ที่มาจากธุรกิจบริการด้านงานก่อสร้าง ที่เป็นการผลิตและติดตั้งพรีคาสต์ ยังมีรายได้เข้ามาอยู่บ้าง แต่ปริมาณงานชะลอตัวลงไป จากผลกระทบของโควิด-19 ทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุน โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก ซึ่งปริมาณงานหายไปค่อนข้างมาก ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานก่อสร้างปั้มน้ำมันแห่งหนึ่ง คาดว่าจะรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้
ทั้งนี้ กรณีการปรับลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% มองว่าเป็นปัจจัยหนุนแค่ชั่วคราวเพียง 1 ปี ที่ช่วยลดผลกระทบให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่การถือครองที่ดินเพื่อรอการพัฒนาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้ส่งผลบวกในระยะยาว ในส่วนของบริษัทมีที่ดินเปล่าที่รอการพัฒนาทั้งหมด 4 แปลง 274 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินในกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ โดยที่ดินที่บริษัทถือครองอยู่สามารถพัฒนาโครงการใหม่ได้รวมมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท