JWD บวก 7% แรงในรอบเกือบ 4 เดือน ลุ้นครึ่งปีหลังธุรกิจขนส่งฟื้นตัวเข้าสู่ไฮซีซั่น!
JWD บวก 7% แรงในรอบเกือบ 4 เดือน ลุ้นครึ่งปีหลังธุรกิจขนส่งฟื้นตัวเข้าสู่ไฮซีซั่น!
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ณ เวลา 15.42 น. อยู่ที่ระดับ 7.30บาท บวก 0.50 บาท หรือ 7.35% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 81.16 ล้านบาท ราคาหุ้นพุ่งแรงในรอบเกือบ 4 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ7.30 บาท เมื่อวันที่ 17 ก.พ.63
โดยก่อนหน้านี้นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWDเปิดเผยว่า คาดรายได้ปีนี้จะลดลงราว 10% จากเดิมที่คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 62 ที่มีรายได้ 3,774.96 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการปิดเมือง (Lockdown) ในช่วงไตรมาส 2/63 ซึ่งจะมีผลกระทบค่อนข้างมาก โดยเฉพาะบริการรับฝากและบริหารยานยนต์ รวมไปถึงลานพักสินค้าอันตราย
แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี ตามการผ่านคลายมาตรการต่างๆที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการเริ่มกลับมาดำเนินกิจการได้ จากเดิมที่ปิดไปเกือบทั้งหมด และคาดว่าจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีหลังโดยปกติแล้วจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของการขนส่งอยู่แล้ว
สำหรับประเด็นสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนนั้น บริษัทได้รับทั้งปัจจัยบวกและลบ แต่ด้วยการที่บริษัทกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายประเทศ และผู้ประกอบการที่มีฐานการผลิตในประเทศจีนก็ได้ย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนาม กัมพูชา และไทย ซึ่งเป็นฐานหลักธุรกิจของบริษัทอยู่แล้ว จึงได้รับผลกระทบเชิงบวกมากกว่า
นายชวนินทร์ กล่าวต่อว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดความต้องการใช้บริการโลจิสติกส์ในธุรกิจ e-Commerce เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเกิดจากการปรับโมเดลของภาคธุรกิจต่าง ๆ จาก Offline สู่แพลตฟอร์ม Online ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่จะกลายเป็น New normal จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการโลจิสติกส์ที่จะคิดค้นและพัฒนาโมเดลให้บริการที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม
ทั้งนี้ JWD ได้วางแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยนอกจากการมุ่งเน้นบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ได้รุกเข้าหาลูกค้ามากขึ้นเพื่อนำเสนอโซลูชั่นที่สามารถช่วยแก้ไข Pain Point แก่ลูกค้า และได้ขยายรูปแบบการให้บริการด้านโลจิสติกส์ใหม่ ๆ จากเดิมที่เน้นกลุ่ม B2B ที่เป็นลูกค้าธุรกิจ สู่กลุ่ม B2C เพื่อขยายฐานลูกค้ารายย่อยเพิ่มขึ้น
สำหรับแผนการเข้าซื้อกิจการในปีนี้บริษัทได้มีการชะลอแผนออกไปราว 2-3 ไตรมาส เพื่อติดตามแผนการดำเนินงานหลังจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้บริษัทที่อยู่ระหว่างพิจารณานั้นมีผลประกอบการที่ปรับตัวลดลง ซึ่งบริษัทดังกล่าวอยู่ในกิจการที่เกี่ยวเนื่องการภาคยานยนต์ที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก