บลจ.บัวหลวง เตือนมูลค่าตลาดฯตึงตัว เน้นลงทุนหุ้นการเงินแกร่ง-ปรับตัวเร็ว
บลจ.บัวหลวง เตือนมูลค่าตลาดฯตึงตัว เน้นลงทุนหุ้นการเงินแกร่ง-ปรับตัวเร็ว
บริษัทหลักทรัพย์ จัดการกองทุน บัวหลวง มองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือน มิ.ย.63 จะต้องให้ความสำคัญกับการคัดสรรหุ้นมากขึ้น เนื่องจากตลาดปรับขึ้นมารับแนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจไปบ้างแล้ว ทำให้ระดับมูลค่าหุ้นโดยรวมค่อนข้างตึงตัวในบางกลุ่มธุรกิจ
โดยกลยุทธ์การลงทุน จะต้องเน้นเลือกลงทุนหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทางการเงินและมีความสามารถในการแข่งขัน มีกลยุทธ์การปรับตัวที่ดี รวมทั้งให้น้ำหนักมากขึ้นกับกลุ่มธุรกิจที่สามารถกลับมาดำเนินการได้ใกล้เคียงภาวะปกติในเวลาไม่นาน
สำหรับตลาดหุ้นไทยโดยรวมเดือน พ.ค.63 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้ ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือน พ.ค.63 ติดลบลดลงเหลือ -15% โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิที่ 3.16 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.7 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ ผลประกอบการไตรมาสแรกที่ประกาศออกมา พบว่ากำไรของตลาดโดยรวมลดลงประมาณ 60% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว มีสาเหตุหลักมาจาก การขาดทุนสต็อกของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี กลุ่มโรงแรมและกลุ่มสื่อ-บันเทิง ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองเป็นกลุ่มแรกๆ เป็นต้น ซึ่งตลาดคาดว่า ผลประกอบการโดยรวมจะต่ำสุดในไตรมาสสอง และมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ ตลาดมีความหวังว่าหลังจากเดือน มิ.ย.63 กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ มีแนวโน้มถูกคลายล็อคดาวน์ จนเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ประชาชนจะยังต้องมีการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) กิจการต่างๆ ยังไม่สามารถให้บริการได้อย่างเต็มที่ ทำให้แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นเป็นลำดับ
ด้านภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา มีการปรับตัวในเชิงบวกหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มทยอยดีขึ้น ประกอบกับความพร้อมของอุปกรณ์การแพทย์ที่มากขึ้น ทำให้หลายประเทศสามารถทยอยกลับมาเปิดเศรษฐกิจได้อีกครั้ง ทำให้นักลงทุนมีความคาดหวังเพิ่มขึ้นว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวรวดเร็วมากขึ้นในระยะข้างหน้า โดยมีตัวบ่งชี้มาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง
ส่วนประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนนั้น แม้จะกลับมาปะทุอีกครั้ง โดยสหรัฐฯ โจมตีว่าจีนเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งประเด็นการผ่านกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ในฮ่องกง และการถอดถอนบริษัทจดทะเบียนของจีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่โดยรวมแล้วตลาดยังมองว่าสถานการณ์ยังไม่ลุกลามบานปลายจนไปกระทบข้อตกลงการค้าเฟสแรก ที่สหรัฐฯ และจีนเคยทำร่วมกันไว้ ดังนั้นจึงทำให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมยังเป็นไปในเชิงบวกอยู่
นอกจากนี้ ตลาดยังคงมีความหวังว่า การที่ธนาคารกลางต่างๆ ออกมาตอบสนองด้วยนโยบายการเงินอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับภาครัฐที่ออกนโยบายการคลังขนานใหญ่ จะช่วยให้เศรษฐกิจกลับคืนสู่ภาวะปกติได้ในเวลารวดเร็ว และไม่ได้สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจมากเกินไป