STGT ปิดจ๊อบขาย “ไอพีโอ” 438.78 ล้านหุ้น ปลื้ม “กองทุน-รายย่อย” จองซื้อคึก!
STGT ปิดจ๊อบขาย “ไอพีโอ” 438.78 ล้านหุ้น ปลื้ม “กองทุน-รายย่อย” จองซื้อคึก!
นายวราห์ สุจริตกุล กรรมการบริหาร บล.ฟินันซ่า ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ของ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ STGT ในช่วงวันที่ 23-25 มิ.ย.ที่ผ่านมา สามารถปิดการเสนอขายครบทั้งจำนวน 438,780,000 หุ้น หรือคิดเป็น 30.7% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้
โดยราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้นละ 34 บาท ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยจองซื้ออย่างคึกคัก โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันที่แสดงความต้องการช่วงทำ Bookbuilding สูงกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรไว้
ทั้งนี้ ตนมั่นใจในศักภาพทางธุรกิจของ STGT ที่เป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และเป็นผลิตภัณฑ์ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมต่างๆ จากทั่วโลก เพราะสามารถปกป้องการสัมผัสเพื่อความปลอดภัยด้านสุขอนามัย นอกจากนี้ยังมีความต้องการใช้สินค้าเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19
ด้านนายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ในฐานะผู้ร่วมจัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น STRT กล่าวว่า หุ้น IPO ของ STGT ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน เนื่องจากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตถุงมือยางที่มีการส่งออกสินค้าจำหน่ายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกและไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
ขณะที่สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางแห่งมาเลเซีย (MARGMA) ประเมินภาพรวมอุตสาหกรรมถุงมือยางของโลกปี 59-62 มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 12% นอกจากนี้ โควิด-19 เป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ หันมาใช้ถุงมือยางเพิ่มขึ้น จึงคาดว่าจะหลังจากเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ด้านนางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ STGT กล่าวว่า บริษัทพร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขาpในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค.นี้ กรกฎาคมนี้ โดยใช้ชื่อย่อ ‘STGT’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ คาดว่าจะได้รับความสนใจเช่นเดียวกับการเสนอขายหุ้น IPO
ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ไปใช้ขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพผลิต ติดตั้งระบบ SAP ชำระเงินกู้สถาบันการเงินและเป็นเงินหมุนเวียนในกิจการ โดย ณ วันที่ 31 มี.ค.63 บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งถุงมือยางรวมประมาณ 32,619 ล้านชิ้นต่อปี จากโรงงานหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สุราษฎร์ธานีและตรัง และมีแผนงานขยายกำลังการผลิตติดตั้งอย่างต่อเนื่องเป็นมากกว่า 50,000 ล้านชิ้นต่อปีภายในปี 67
ทั้งการขยายกำลังการผลิตในโรงงานเดิมที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตรัง และก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และที่จังหวัดชุมพร จากนั้นจะขยายกำลังการผลิตติดตั้งเป็นมากกว่า 70,000 ล้านชิ้นภายในปี 71 และจะขยายเป็นประมาณ 100,000 ล้านชิ้นในปี 75
นอกจากนี้บริษัทวางแผนขยายตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศที่มีโอกาสเติบโตสูง อาทิ ทวีปเอเชียแปซิฟิก แอฟริกา อเมริกาใต้ ฯลฯ ซึ่งกำลังพัฒนาระบบสาธารณสุขและสุขอนามัย ดังนั้นอัตราการบริโภคถุงมือยางเฉลี่ยต่อคนต่อปีจึงมีโอกาสเติบในอนาคตโดย STGT จะใช้จุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งของโรงงานในประเทศไทย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์การเพาะปลูกยางพาราและอยู่ใกล้โรงงานผลิตน้ำยางข้นของกลุ่ม STA ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทฯ และเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลก จึงมีความได้เปรียบด้านต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ผลิตถุงมือยาง