“ส.นักวิเคราะห์” ชี้ Q3 เสี่ยง “โควิด” ระบาดซ้ำ เคาะเป้า SET สิ้นไตรมาส 1,347 จุด
"ส.นักวิเคราะห์" ชี้ Q3 เสี่ยง “โควิด” ระบาดซ้ำ เคาะเป้า SET สิ้นไตรมาส 1,347 จุด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ในครึ่งหลังของปี 63 นี้ โดยครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 20 บริษัท แบ่งเป็น บริษัทหลักทรัพย์ 15 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 4 บริษัท และบริษัทโกลด์ฟิวส์เจอร์ส 1 บริษัท ซึ่งได้ปรับสมมติฐานหลักเป็นปัจจุบันแล้ว
โดยความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน 45% มองว่าดัชนีราคาหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/63 มีแนวโน้มไปในทิศทางลบ ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 35% มองไปในในทิศทาง Sideways หรือไม่เปลี่ยนแปลงไปมากจากไตรมาส 2 และ 20% มองว่าตลาดจะเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวก
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนคาดว่าดัชนีราคาหุ้นไทย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,347 จุด สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดไตรมาส 3 นั้นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 รวมถึงความเสี่ยงของการเกิด Second Wave เป็นปัจจัยลำดับแรกที่มีอิทธิพลต่อทิศทางราคาหุ้นไทยระยะสั้น รองลงมาคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและผลประกอบการ ตามลำดับ
สำหรับจุดสูงสุดของ SET Index ในช่วงก.ค.ถึงสิ้นปี 2563 เฉลี่ยที่ระดับ 1,448 จุด ทั้งนี้มีผู้ตอบแบบสอบถาม 72.22% ที่คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุด 1,401-1,500 จุด และมีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 22.22 ที่คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ ในช่วง 1,301-1,400 ตามลำดับ ส่วนคาดการณ์จุดต่ำสุดของดัชนีระหว่างปีนับจากนี้มีค่าเฉลี่ยจุดต่ำสุด ที่ 1,236 จุด
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 63 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,383 จุด ซึ่งมากกว่าผลสำรวจของไตรมาส 2/63 ซึ่งอยู่ที่ 1,276 จุด
ขณะที่สมมติฐานด้านอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปีนี้มีค่าเฉลี่ยการขยายตัวที่ -7.21% ส่วนสมมติฐาน GDP ปี 64 นั้นผู้ตอบทุกรายมองว่าเป็นบวกเฉลี่ยอยู่ที่ 4.24% และไม่มีผู้ตอบที่มองแย้งว่าจะติดลบ
ด้านราคาน้ำมัน ผู้ตอบแบบสอบถามได้ปรับใช้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปี 63 ที่ 41.13 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดย63.16% เชื่อว่าจะอยู่ในช่วง 40-44.99 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และอีก 26.32% คาดว่าจะอยู่ในช่วง 45-49.99 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนอีก 10.53% ประเมินในช่วง 35-39.99 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
สำหรับปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในครึ่งหลังของปี 63 ได้แก่ มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก ผู้ตอบแบบสำรวจ 95% เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก รองลงมาผู้ตอบ 70% คาดว่าเป็นทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา (เฟด) และ ผู้ตอบ 50% คาดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศจะส่งผลบวก ส่วนปัจจัยอื่นๆ ไม่มีปัจจัยใดที่มีผู้ตอบถึง 50% ที่ระบุว่าเป็นบวก
ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลในด้านลบ ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งอเมริกา ยุโรป เอเชีย รองลงมา คือปัจจัยด้านผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เป็นปัจจัยที่มีเสียงโหวต 80% ขึ้นไป และเศรษฐกิจภายในประเทศ 75% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าปัจจัยทางด้านการเมืองในประเทศนั้นไม่มีผลมากนักต่อทิศทางราคาหุ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยมีผู้ตอบเพียง 10% ที่มองว่าจะเป็นผลบวก และมีผู้ตอบ 35% ที่มองแย้งว่าจะเป็นผลลบ
ทั้งนี้สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้สอบถามความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับ ข้อเสนอแนะว่า ภาครัฐควรเร่งนโยบายเรื่องใดที่มีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ 47.06% เสนอให้ภาครัฐใช้นโยบายการคลัง โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนให้มีกำลังซื้อ ได้แก่ ชดเชยรายได้ การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ฯลฯ ส่วนด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจมีผู้ตอบ 41.18% ข้อเสนอได้แก่ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลง หรือการชดเชยอื่นๆ ที่เป็นรูปธรรมให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ
นอกเหนือจากข้อเสนอดังกล่าว มีผู้ตอบ 35.29% ที่เสนอให้ภาครัฐเร่งโครงการลงทุนภาครัฐ มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน
ด้านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นักวิเคราะห์ 60% คาดการณ์ว่าจะปรับลด 0.25% ในครึ่งหลังของปี 63 และอีก 40% คาดว่าคงที่
นอกจากนี้ คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดเฉลี่ยที่ 65.44 บาท ลดจากการสำรวจครั้งก่อนที่อยู่ในระดับ 79.70 บาท โดย 64.71% เห็นว่าจะอยู่ในช่วง 65-69.99 บาท และอีก 23.53% คาดว่าจะอยู่ในช่วง 60-64.99 บาท ส่วนอีก 11.76% คาดว่าจะอยู่ในช่วง 70-74.99 บาท
สำหรับ EPS Growth ของงบปี 63 คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ -22.30% โดยส่วนใหญ่ 64.71% เห็นว่าจะอยู่ในช่วง -20% ถึง -29.99% และ 11.76% เห็นว่าจะอยู่ระหว่าง -1% ถึง -9.99% , 11.76% เห็นว่าจะอยู่ในช่วง -10% ถึง -19.99% และอีก 11.76% คาดว่าจะอยู่ในช่วง -30% ถึง -39.99%