ดักเก็บหุ้นรับอานิสงส์แรงขับเคลื่อนลงทุนภาครัฐฯ
กลยุทธ์การลงทุนในเดือนกรกฎาคม มุ่งเป้าไปที่การค้นหาหุ้นที่สามารถเอาชนะผลกระทบจากประเด็น COVID-19 ได้ในมุมราคาหุ้นที่ Outperform ตลาดได้ดี
เส้นทางนักลงทุน
เศรษฐกิจไทยปี 2563 หลายสำนักคาดไปในทิศทางตรงกันว่าจะหดตัวเฉลี่ย 7-8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เหตุจากผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจและการเคลื่อนย้ายคนและสิ่งของทำได้จำกัด
ผลดังกล่าวส่งผลให้ฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยตัวหลัก ๆ อาทิ ส่งออก ยังหดตัวตามเศรษฐกิจโลก, การลงทุนเอกชนชะลอตัวตามการบริโภคครัวเรือนที่ลดลงเนื่องจากประชาชนขาดรายได้และว่างงานเพิ่มขึ้น
ขณะที่ทำให้ดูเหมือนว่ามีเพียงตัวขับเคลื่อนเดียวในปีนี้ที่ยังไปได้ คือ การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ และการลงทุนภาครัฐ อิงจากประมาณการของ ธปท. ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2563 ที่ยังคงสมมติฐานการลงทุนภาครัฐที่ 5.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และการบริโภคภาครัฐ (G) ปรับเพิ่มขึ้น 3.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากเดิม 2.6%
ถัดมาทางบล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าการลงทุนหุ้นในช่วงนี้จะยังอยู่กับกระแสการลงทุนภาครัฐ คือจะเห็นกระแสรัฐบาลเดินหน้าเร่งแผนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้า ที่เริ่มมีออก Timeline ชัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ อาทิ
รถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันตก) ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (งานโยธาสายสีส้มตะวันตก และงานเดินรถตลอดทั้งเส้น) มูลค่าราว 9.6 หมื่นล้านบาท หลังจาก ครม.อนุมัติไปเรียบร้อยแล้ว ออกหลักเกณฑ์ TOR 3-9 ก.ค. 2563 และเปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอเดือน ก.ย. 2563 และคาดลงนามในสัญญาร่วมลงทุนเดือน ธ.ค. 2563
รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ วงเงิน 8 หมื่นล้านบาท กำหนดเปิดประมูลงานโยธาภายในเดือน ก.ย. 2563 และคาดจะรู้ผลประมูลได้ภายในสิ้นปี
ทั้งนี้ Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาใหญ่ อย่าง บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK, บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC รวมถึงยังมีกลุ่มรับเหมางานฐานราก อย่าง บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ชอบ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO ให้ราคาเป้าหมาย 8.20 บาท โดยจุดเด่นพื้นฐาน คือ ล่าสุด การประกาศได้งานเสาเข็มใหม่ 3 โครงการ อาทิ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ แจ้งวัฒนะ, โครงการปรับปรุงห้างเซ็นทรัล พลาซา พระราม 2 และห้างเซ็นทรัล เอ็มบาสซี (ส่วนต่อขยาย) มูลค่า 800 ล้านบาท หนุนงานในมือ Backlog ขึ้นทำจุดสูงสุดรอบ 7 ไตรมาส อีกทั้งราคาหุ้นยังน่าสนใจ PER เพียงแค่ 9.9 เท่า และอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนสูง 4.85%
นอกจากนี้ มิใช่แค่กระแสงานประมูลโครงสร้างพื้นฐาน แต่กระแสการประมูลในส่วนงานโทรคมนาคม เริ่มทยอยกลับมาเช่นกัน จากการรวบรวมของฝ่ายวิเคราะห์ในกลุ่มที่แจ้งรับงานใหม่ผ่านระบบตลาด อย่าง บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL, บริษัท อินฟอร์เมชั่น แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น เน็ทเวิร์คส จำกัด (มหาชน) หรือ ICN, บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT และ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ชอบ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET ให้ราคาเป้าหมาย 4.18 บาท ล่าสุด ประกาศงานใหม่มูลค่า 339 ล้านบาท หนุนงานในมือ Backlog เพิ่มสู่ระดับ 2.3 พันล้านบาท ซึ่งจะมีส่วนที่ส่งมอบใน 9 เดือนแรกคิดเป็นราว 70% ของรายได้ส่วนที่ต้องรับรู้ 1.2 พันล้านบาท
ในช่วง 9 เดือนแรกเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายรายได้ช่วงที่เหลือปีที่ 1.4 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือยังคาดหวังได้งานใหม่ในอุตสาหกรรมที่ทยอยออกมาต่อเนื่องหลังโควิด-19 จากพันธมิตรหลายรายทั้งรัฐและ Subcontract ต่อจากเอกชนรายอื่น ซึ่งทำให้ภาพรวมคาดกำไรปี 2563 เติบโต 22% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยราคาหุ้นปัจจุบันเด่นซื้อขาย PER ที่ 11.6 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ซื้อขาย 24.5 เท่า
ดังนั้นยามที่ตลาดหุ้นไทยมี Upside ที่ค่อนข้างจำกัด ขณะที่ประเด็นการเร่งตัวขึ้นของผู้ติดเชื้อ COVID-19 ระยะที่ 2 ที่ยืดเยื้อ อาจส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจให้ชะลอตัวนานกว่าที่คาดไว้ ถือเป็นความท้าทายต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงที่เหลือของปี และเป็นความเสี่ยงต่อ SET Index ที่ปัจจุบันซื้อขายกันบน P/E เกินกว่า 20 เท่า
กลยุทธ์การลงทุนในเดือนกรกฎาคม มุ่งเป้าไปที่การค้นหาหุ้นที่สามารถเอาชนะผลกระทบจากประเด็น COVID-19 ได้ทั้งในมุมราคาหุ้นที่ Outperform ตลาดได้ดีในตอนที่ตลาดเผชิญกับ COVID-19 ระบาดในระยะที่ 1 รวมถึงความสามารถในการปรับตัวและการทำกำไรที่โดดเด่นกว่าบริษัทอื่น ๆ ในปี 2563 นี้
สุดท้ายดาวเด่นในช่วงนี้ คงเป็น 2 หุ้นเล็กที่ได้แรงหนุนจากโครงการภาครัฐ คือ INSET, SEAFCO