“ศบค.” ยังไม่พับแผน กลุ่ม “Medical Tourism” มาไทย คาดเริ่มเร็วสุดปลาย ก.ค.นี้!

“ศบค.” ยังไม่พับแผน กลุ่ม “Medical Tourism” มาไทย คาดเริ่มเร็วสุดปลาย ก.ค.นี้ แต่เตรียมเพิ่มความเข้มงวด หวังอุดรอยรั่ว หลังได้รับบทเรียนจากเคสทหารอียิปต์-ครอบครัวอุปทูต


นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในรูปแบบ Medical Tourism ว่ายังคงเดินหน้าตามปกติ โดยคาดว่าอย่างเร็วที่สุดจะเริ่มได้ในปลายเดือนนี้ แต่จะต้องเพิ่มความเข้มงวด เช่น กรณีของผู้ติดตาม การจัดหาที่พัก และไม่อนุญาตให้ออกมาในพื้นที่สาธารณะ

“มาตรการต่างๆ เหล่านี้ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและโรงพยาบาลเอกชนเจ้าของไข้คนไข้เหล่านี้ จะต้องมีการออกมาตรการและซักซ้อมความเข้าใจ คาดว่าเร็วที่สุดอาจจะเป็นปลายเดือนนี้ ซึ่งข้อห่วงจากกรณีระยองและอุปทูต ทำให้ผู้รับผิดชอบพูดคุยกันเพื่อปิดช่องว่างอุดรูโหว่ เชื่อว่าจาก 2 เหตุการณ์นำมาสู่มาตรการที่ต้องเข้มข้น” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

สำหรับกรณีของเด็กหญิงจากซูดานวัย 9 ปี และทหารอียิปต์ที่ติดเชื้อโควิด-19 ศบค.ได้ขีดวงจำกัดผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ ด้วยการจำกัดพื้นที่ จำกัดขอบเขต และจำกัดตัวบุคคล เพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

“เราขีดวงไว้แล้วและจะติดตาม และจะนำชุดข้อมูลมารายงานรายวันให้รับรู้ว่ามีอาการหรือไม่มีอาการ เพื่อให้เกิดความสบายใจ” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

สำหรับกรณีของเด็กหญิงชาวซูดาน มีข้อมูลชัดเจนว่าเข้ามาพักอยู่ที่คอนโดฯ ใน กทม.ณ ตอนนี้จำกัดขอบเขตผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงสูงทั้งหมด 6 ราย โดย 5 รายเป็นคนในครอบครัว และอีก 1 รายเป็นคนขับรถของสถานทูต ซึ่งจะได้มีการติดตามอาการในช่วง 14 วันนี้และเก็บตัวอย่างไปตรวจ

ขณะที่ผู้สัมผัสความเสี่ยงต่ำ 18 ราย เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ 2 คน ต้องถูกกักตัว 14 วัน นอกจากนี้เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโดฯ เดียวกันทั้งหมด 16 รายที่เกี่ยวโยงกับผู้ป่วยเมื่อมาถึงคอนโดฯ และมีการใช้ลิฟท์ แต่เด็กที่ติดเชื้อรายนี้ก็ไม่ได้พูดคุยกับใครหรือออกจากห้องพักไปใช้บริการสระว่ายน้ำ ฟิตเนส มีเพียงบิดาลงมาซื้ออาหาร 1 ครั้งและ ติดต่อสำนักงานของอนโคฯ 1 ครั้ง

ส่วนกรณีของทหารยิปต์ มีผู้ติดเชื้อเพียง 1 รายจาก 31 ราย โดยเดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยในวันที่ 10 ก.ค.และเข้าพักในโรงแรมที่จ.ระยอง โดยได้ออกไปเดินห้างสรรพสินค้าแพชชั่น (แหลมทอง) ซึ่งจากข้อมูลที่ยืนยันได้พบว่าห้างสรรพสินค้าอื่นๆ ไม่เกี่ยวข้อง และผลตรวจคนอื่นๆ ในกลุ่มเป็นลบ เพราะฉะนั้น ศบค.จะตีวงเฉพาะที่ห้างแพชชั่นฯ ซึ่งตรวจสอบ 3 ระบบ คือ 1.การสอบสวน 2.ใช้กล้องวงจรปิดเพื่อติดตามตรวจสอบในทุกจุด และ 3.ติดตามด้วยการใช้แอปพลิเคชั่นไทยชนะ

“จากโรงแรมดีวารี กลุ่มทหารกลุ่มนี้ 6 คนเดินไปห้างแพชชั่นฯ ระยะทาง 250 เมตรเท่านั้น เห็นว่ามีคนที่สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมด 12 คน เป็นพนักงานขับรถตู้ไปโรงแรม 4 คน, 7 คน เป็นผู้จัดการโรงแรมและแม่บ้านที่ทำความสะอาดชั้น 7 และ 8,คนขับแท็กซี่ ที่ไปพูดคุยกับผู้ติดเชื้อนานประมาณ 5 นาทีซึ่งเข้าข่ายการสอบสวนโรค ดึงมาเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงด้วย ซึ่งจากการไล่ตรวจ ผลออกแล้วทั้งหมด ไม่พบผู้ติดเชื้อ แต่ก็ต้องติดตามไปให้ครบ 14 วัน” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

ส่วนประชาชนที่มีโอกาสเป็นผู้สัมผัสผู้ติดเชื้อจากการไปใช้บริการห้างสรรพสินค้าดังกล่าวในเวลาเดียวกันนั้น จากแอปไทยชนะ ติดตามได้ 394 คน โดยใช้ SMS ส่งข้อความแจ้งไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้ ตอนนี้สามารถติดต่อได้ 40 คนแล้ว แต่ยืนยันว่ากลุ่มเป็นความเสี่ยงต่ำทั้งสิ้น ดังนั้น หากได้รับ SMS ก็ควรเข้ามาตรวจเพื่อความสบายใจ เพราะการเดินผ่านก็เหมือนไข้หวัด หากใส่หน้ากาก และล้างมือบ่อยๆ โอกาสติดเชื้อน้อยมาก

“ถ้าเฉพาะห้างแหลมทองที่ผู้ติดเชื้อไปเดิน จากข้อมูลที่ได้จากแอปไทยชนะและสมุดลงชื่อทั้งหมด 886 ราย ผลตรวจเป็นลบทั้งหมด เซ็นทรัลระยอง 447 ราย ผลก็เป็นลบ” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

สำหรับการตรวจหาเชื้อจากรถพระราชทานเมื่อวันที่ 14 ก.ค. จำนวน 1,603 ราย ผลเป็นลบ มาตรวจเมื่อวันที่ 15 ก.ค. จำนวน 1,252 ราย อยู่ระหว่างรอผล

ทั้งนี้ นพ.ทวีศิลป์ ตอบคำถามถึงกรณีที่สถานที่หลายแห่งตัดสินใจปิดทำการเมื่อพบว่าอาจเกี่ยวโยงทั้งสองกรณี เช่น โรงเรียน โรงแรม สถานที่ต่างๆ ว่า เป็นปฏิกิริยาทางสังคมที่ได้เรียนรู้ร่วมกัน ด้านหนึ่งมองว่าเป็นผลบวกในการสร้างความตื่นตัวก็ถือว่าดี แต่อย่าตื่นตูมจนเกินไป ต้องวางสมดุลให้ดี ตื่นตัวคือระมัดระวังและจัดการได้ดี แต่ถ้าตื่นตูมมากไปก็อาจจะเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ เรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการสอบสวนโรค แต่ ณ วันนี้การสอบสวนโรคตีวงออกมาได้แล้ว

“เมื่อเช้านี้มีรายงานว่ามีการโหลดแอปพลิเคชัน และการเช็คอินไทยชนะ ตื่นตัวเพิ่มขึ้น 500,000 รายในการใช้ ระบบนี้ยืนยันได้ว่ามีประโยชน์ในการที่จะจำกัดบุคคล ถ้าท่านไปแหลมทองช่วงนั้นและใช้แอปไทยชนะ ท่านก็จะได้ประโยชน์…แต่ให้คิดทางด้านบวก เพื่อให้สบายใจ แต่ก็ต้องคิดในแง่ลบเอาไว้ด้วยเพื่อไม่ให้คาดหวังอะไรที่สูงเกินไป” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

ส่วนกรณีเที่ยวบินเหมาลำ 2 สายการบินที่ไลอ้อนแอร์ และแอร์เอเชีย X ที่จะเดินทางไปจีน แต่มาจอดที่ไทย และเมื่อไปถึงจีนพบผู้ติดเชื้อ 5-6 คน นพ.ทวีศิลป์ ชี้แจงว่า ผล.ศบค. รับทราบชุดข้อมูลนี้และสั่งให้สำนักการบินพลเรือน (กพท.) จัดชุดรายงาน เบื้องต้น เครื่องบินมาแวะจอดที่ไทยเพื่อใช้ช่องทางอนุญาตเข้าจีน โดยผู้โดยสารที่ติดเชื้อไม่ได้ลงจากเครื่อง แต่บังเอิญทางการจีนไปตรวจเจอและมีมาตรการลงโทษ ยืนยันว่าคนไทยปลอดภัย เพราะเราไม่ได้รับคนต่างชาติจาก 2 เที่ยวบินนี้เข้ามาในประเทศ

นอกจากนี้ โฆษก ศบค.ยังได้ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ถามถึงกระแสข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขอเวลา 1 สัปดาห์เพื่อประเมินสถานการณ์ หากไม่ดีขึ้นมีโอกาสที่จะเคอร์ฟิว 24 ชม. ว่า จากการตรวจสอบไม่พบว่านายกรัฐมนตรีกล่าวเรื่องนี้ แม้ก่อนหน้าเราจะมีวิกฤติจากการติดเชื้อมากกว่านี้ก็ยังไม่เคยเคอร์ฟิว 24 ชม. เพราะประชาชนมีความร่วมมืออย่างดีมาโดยตลอด เราจึงสามารถรักษาสถานะเช่นนี้ และ ณ วันนี้มีเพียงผู้ติดเชื้อแล้วเดินทางเข้ามาเท่านั้น ยังไม่เกิดการระบาดขึ้นเช่นกรณีสนามมวย หรือภูเก็ต ที่มีการติดเชื้อเป็นวงกว้าง

“การระบาดในอย่างเช่นอดีตก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นวันไหน ถ้าเกิดขึ้นมา ถ้าเรามั่นใจเรื่องการควบคุม หรือมีความตื่นตัวอย่างนี้ ไม่ต้องให้ใครมาบังคับ ไม่ต้องมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ต้องมาประกาศเคอร์ฟิว ท่านดูแลของท่านเอง เหมือนที่ตอนนี้ที่เกิดขึ้นที่ระยอง เป็นการทดสอบระบบ” โฆษก ศบค. ระบุ

Back to top button