YLG เปิด 4 เทคนิคส่อง “ทองแท้” กันถูกหลอก คาดบาทอ่อนหนุนราคาพุ่งยาวต่อเนื่อง

YLG เปิด 4 เทคนิคส่อง “ทองแท้” กันถูกหลอก คาดบาทอ่อนหนุนราคาพุ่งยาวต่อเนื่อง


นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ทองคำในประเทศทำสถิติราคาปรับขึ้นมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 27,250 บาท หลังค่าเงินบาทอ่อนค่า ขณะที่ทองคำในตลาดโลกนิวไฮปีนี้ที่ 1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ คาดช่วงนี้ค่าเงินบาทยังอ่อนค่าต่อเนื่องจากปัจจัยภายในประเทศ ส่งผลทองคำในประเทศยังมีโอกาสไปต่อได้

พร้อมแนะ 4 เทคนิคสังเกตทองคำแท้ ตรวจสอบสี และน้ำหนักทอง ขอใบรับรองน้ำหนักทอง และซื้อจากผู้ค้าที่น่าเชื่อถือ หรือลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สทางเลือกใหม่ไม่มีความเสี่ยงจากปัญหาทองปลอม โดยมีวิธีแนะนำการสังเกตทองคำ ดังนี้

1.สังเกตที่สีของทองต้องไม่ผิดเพี้ยน รวมถึงเนื้อทองคำต้องไม่มีสิ่งปลอมปนทำให้ตัวทองคำบิดเบี้ยว

2.เลือกซื้อทองคำกับผู้ค้าที่มีความน่าเชื่อถือไว้ใจได้ และสังเกตตราประทับสัญลักษณ์ของร้านทองต้องชัดเจน

3.ตรวจสอบน้ำหนักทองคำให้ตรงกับจำนวนที่ซื้อ รวมถึงต้องขอใบเสร็จรับรองน้ำหนักทองคำจากผู้ขายทุกครั้ง

4.ไม่ซื้อทองคำที่ราคาต่ำกว่าราคาที่สมาคมค้าทองคำประกาศ เพราะมีความเสี่ยงที่จะเป็นทองปลอม

นางพวรรณ์ กล่าวว่า ราคาทองคำแท่ง 96.5% เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2563 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 27,250 บาท ถือว่าเป็นราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าราคาทองคำในตลาดโลกจะยังไม่สามารถทำลายสถิติเดิมที่ระดับ 1,920 ดอลลาร์/ออนซ์ ที่ทำไว้เมื่อเดือนกันยายน 2554 แต่จากการอ่อนค่าของเงินบาท ในช่วงนี้จึงทำให้ราคาทองคำในประเทศอยู่ระดับสูงกว่าปี 2554 ซึ่งช่วงนั้นค่าเงินบาทอยู่ในระดับต่ำกว่า 30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปัจจุบันค่าเงินบาทอ่อนค่าเคลื่อนไหว 31.60-31.85 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ทิศทางทองคำในระยะกลางระยะยาวยังสดใส แม้ว่าระยะสั้นจะมีแรงขายทำกำไรสลับออกมาบ้าง มองหากราคายังทรงตัวเหนือกรอบแนวรับบริเวณ 1,804-1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ยังมีลุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1,831-1,843 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้  โดยยังคงเป้าหมายของปีนี้ที่ 1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ซึ่งถือว่าไม่ไกลจากระดับปัจจุบันนัก

สำหรับคำแนะนำนักลงทุน หากราคาปรับลดลงใกล้แนวรับแนะนำซื้อสะสม เพราะทิศทางทองคำระยะกลางระยะยาวยังเป็นขาขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยหนุนที่สำคัญจากความตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐ และสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ยังระบาดอย่างต่อเนื่องซึ่งจะสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางและรัฐบาลของแต่ละประเทศจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งทางการเงินและการคลังต่อไป  จึงเป็นผลเชิงบวกต่อทิศทางราคาทองคำ

อย่างไรก็ดี อาจมีปัจจัยลบอย่างความคืบหน้าเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 เข้ามาส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาเป็นระยะ จึงแนะนำว่าหากราคาแกว่งตัวขึ้นให้ทยอยขายบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง และต้องกำหนดจุดขาดทุนประกอบการลงทุนอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถเลือกการลงทุนในทองคำผ่านโกลด์ฟิวเจอร์ส(Gold Futures) เป็นทางเลือกได้เช่นกัน  ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นการซื้อขายด้วยเงินบาทที่ไม่มีปัญหาเรื่องความกังวลจากทองคำปลอมอีกด้วย

 

Back to top button