HMPRO เคาะจัด “HOMEPRO EXPO 2” กระตุ้นผลงานครึ่งปีหลัง ตั้งเป้ากวาดยอดขาย 600 ลบ.

HMPRO เคาะจัด "HOMEPRO EXPO 2" กระตุ้นผลงานครึ่งปีหลัง ตั้งเป้ากวาดยอดขาย 600 ลบ.


นางสาวศิริวรรณ เปี่ยมเศรษฐสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผยว่า บริษัทกลับมาจัดงาน HOMEPRO EXPO ระหว่างวันที่ 24 ก.ค.-2 ส.ค. 63 เป็นะยะเวลา 10 วัน ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งเลื่อนมาจากกำหนดเดิมในเดือน มี.ค.63 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีผู้เข้าเยี่ยมชมงานครั้งนี้ราว 6,000 คน/วัน ลดลงจากช่วงปกติที่ 10,000 คน/วันด้วยข้อจำกัดของมาตรการควบคุมโควิด-19 ขณะที่ตั้งเป้ากวาดยอดขายในงานกว่า 600 ล้านบาท

แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 ในไทยจะคลี่คลายลง แต่ก็เป็นความท้าทายของบริษัทในการบริหารจัดการพื้นที่ ควบคู่ไปกับการควบคุมความปลอดภัยภายในงาน ซึ่งแตกต่างไปจากการจัดงานช่วงปกติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า คู่ค้า และพนักงานทุกคน โดยที่พื้นที่การจัดงานยังคงเท่าเดิม 27,000 ตารางเมตร แต่มีการเว้นระยะห่างตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ทำให้พี้นที่บูธแสดงสินค้าลดลงไปบ้าง

ขณะเดียวกัน สาขาบริษัทยังคงมีกิจกรรมกระตุ้นการขายอย่างต่อเนื่องตามธีมในแต่ละช่วง หลังจากในช่วงปิดล็อกดาวน์ 2 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายจากสาขาหยุดชะงักไปชั่วคราว ส่งผลให้ภาพรวมของยอดขายในครึ่งปีแรกลดลงไปราว 12% และหลังจากกลับเปิดสาขาแล้วยอดขายก็เริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากความอัดอั้นของลูกค้าในช่วงล็อกดาวน์ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการรีโนเวทหรือตกแต่งบ้างมีสัดส่วนมากที่สุด 80% และนิยมซื้อสินค้าผ่านสาขาเป็นส่วนใหญ่

อย่างไรก็ตาม บริษัทจะขยายช่องทางการขายไปสู่ช่องทางออนไลน์มากขึ้น หลังจากที่พฤติกรรมของลูกค้าในช่วงโควิด-19 ได้รับรู้และทำความเข้าใจกับการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ในช่วงล็อกดาวน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่บริษัทจะผลักดันมากขึ้นหลังจากที่ชะลอแผนไปในช่วงก่อนหน้านี้ เพราะเห็นโอกาสในการเพิ่มยอดขายจากช่องทางออนไลน์ที่ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ทุกที่ทุกเวลา โดยเตรียมเปิดตัวแอปพลิเคชั่น HOMEPRO ในวันที่ 1 ก.ย. 63 เพื่อตอกย้ำการเดินหน้าสู่การรุกการขายช่องทางออนไลน์ ควบคู่ไปกับช่องทางการขายผ่านสาขาอย่างจริงจัง

ในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายผลักดันสัดส่วนรายได้จากช่องทางออนไลน์ไว้ที่ 5% ของยอดขายรวม ซึ่งในช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมาทำได้ตามเป้าหมายดังกล่าวแล้ว โดยเฉพาะในเดือน เม.ย.มียอดขายสูงถึง 20 ล้านบาท/วัน จากช่วงก่อนโควิด-19 อยู่ที่ 2-3 ล้านบาท/วัน ทำให้เห็นโอกาสทางการตลาดและการขายในอนาคตที่จะเข้ามาเสริมศักยภาพการเติบโต ซึ่งในด้านระบบโลจิสติกส์ของบริษัทถือว่ามีความพร้อมเป็นอย่างมาก และในระยะต่อไปอาจจำเป็นต้องลงทุนพัฒนาคลังสินค้าใหม่ขึ้นมาเพื่อรองรับการขายแบบอีคอมเมิร์ช

พร้อมกันนั้น บริษัทจะเสริมศักยภาพของตัวสินค้าในการขายผ่านออนไลน์ให้มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยอยู่ระหว่างการขยายประเภทสินค้าให้มีฟังก์ชั่นเพิ่มความลึกของสินค้ามากขึ้น นอกเหนือจากมีชนิดหลากหลายตอบโจทย์ความกว้างของชนิดของสินค้า เพราะในปัจจุบันลูกค้าที่ซื้อของใช้ภายในบ้านมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตลอดเวลา มีความต้องการใช้ฟังก์ชั่นต่างๆจากของใช้ภายในบ้านที่มากขึ้น ทำให้สินค้า 1 ชนิดจำเป็นต้องมีฟังก์ชั่นตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย

อย่างไรก็ตาม บริษัทยอมรับว่ายอดขายในปี 63 คงจะทำได้ต่ำกว่าเป้า 6.9 หมื่นล้านบาทเล็กน้อย เพราะได้รับผลกระทบจากการปิดสาขาในช่วงล็อกดาวน์ 2 เดือน แม้ว่าจะมียอดขายจากช่องทางออนไลน์มาเสริม แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยได้อย่างเต็มที่ และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้กำลังซื้อลดลง แต่บริษัทยังคงกระตุ้นการขายอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างยอดขายกลับมาให้เร็วที่สุด โดยในปลายปี 63 จะจัดงาน HOMEPRO EXPO อีกครั้ง คาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเข้ามาสนับสนุนยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ได้

ขณะที่บริษัทจะมีการปรับแผนขยายสาขาในปีต่อไป โดยจะลดขนาดสาขาในต่างจังหวัด เนื่องจากกำลังซื้อชะลอตัวลง ซึ่งการเปิดสาขาขนาดใหญ่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก และจะไม่เร่งการเปิดสาขาเพิ่มมากนัก สาขาขนาดใหญ่ที่จะเปิดใหม่จะอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลัก ส่วนต่างจังหวัดจะเป็น HomePro S เพื่อควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะเปิดสาขาอีกเพียง 2 สาขาคือ โฮมโปร สุขสวัสดิ์ และมาร์เก็ต วิลเลจ รังสิต-คลอง 4 ส่วนสาขา HomePro S ทั้ง 4 สาขาจะเลื่อนไปเปิดในปี 64 แทน

“เราต้องทบทวนแผนการเปิดสาขาให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจชะลอก็กระทบต่อยอดขายของโฮมโปรด้วย โดยเฉพาะสาขาใหญ่ในต่างจังหวัด จากนี้ไปเปิดสาขาปีละ 8 สาขาก็คงจะไม่เห็นแล้ว และเราอยากผลักดันช่องทางออนไลน์ของโฮมโปรให้เพิ่มมากขึ้น เพราะเรากลับมารุกช่องทางออนไลน์อย่างจริงจังอีกครั้ง และทำในรูปแบบ Omni Channel ควบคู่กับการขายผ่านสาขา”นางสาวศิริวรรณ กล่าว

 

 

Back to top button