“ก.เกษตรฯ” แจงโอนเงินเยียวยา “เกษตรกร” 7.7 ล้านคน ครบ 3 เดือน กว่า 1.12 แสนลบ.
“อลงกรณ์ พลบุตร” แจงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โอนเงินเยียวยา “เกษตรกร” ครบ 3 เดือน กว่า 1.12 แสนลบ.
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการติดตามประเมินผลโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ในฐานะนายทะเบียนได้ทำการตรวจสอบความซ้ำซ้อนข้อมูล และส่งรายชื่อเกษตรกรที่ได้รับสิทธิฯให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกร รายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2563 รวมทั้งสิ้น 7,747,490 ราย
โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกร ตั้งแต่ 15 พ.ค. – 31 ก.ค. 63 รวม 3 งวด จำนวน 112,126.730 ล้านบาท คิดเป็น 96.48% ของเป้าหมาย 116,212.35 ล้านบาท แบ่งเป็น งวดที่ 1 จำนวน 7,486,705 ราย จำนวนเงิน 37,433.525 ล้านบาท งวดที่ 2 จำนวน 7,472,114 ราย จำนวนเงิน 37,360.570 ล้านบาท และงวดที่ 3 จำนวน 7,466,527 ราย จำนวนเงิน 37,332.635 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มีเกษตรกรที่ยังไม่สามารถโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรได้ เนื่องจากไม่ได้แจ้งเลขบัญชี ขณะนี้ได้เร่งให้หน่วยงานในพื้นที่ติดตามเกษตรกรเพื่อส่งเลขบัญชีให้กับ ธ.ก.ส. ดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกร โดยดำเนินการหลายช่องทาง เช่น ติดประกาศ ณ หน่วยงานในพื้นที่ โทรศัพท์แจ้งเกษตรกรโดยตรง รวมทั้งส่งรายชื่อให้กับผู้นำชุมชนเพื่อไปแจ้งเกษตรกรต่อไป และสำหรับเกษตรกรกลุ่มสุดท้าย ที่ได้แจ้งความจำนงเพาะปลูกและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรก่อนวันที่ 15 พฤษภาคม และเพาะปลูกพืชก่อนวันที่ 30 มิถุนายน ซึ่งมีจำนวน 38,737 ราย กลุ่มนี้จะได้รับเงินครั้งเดียว 15,000 บาท ภายในเดือนสิงหาคมนี้
สำหรับผลการอุทธรณ์ มีเกษตรกรที่มาขอยื่นเรื่องอุทธรณ์เยียวยาของทั้ง 8 หน่วยงาน โดยตรวจสอบความถูกต้องและซ้ำซ้อนแล้ว คงเหลือ 189,645 ราย ซึ่งล่าสุด การประชุมคณะกรรมการพิจารณาการอุทธรณ์ ครั้งที่ 6/2563 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมา พบว่า มีเกษตรกรที่เข้าหลักเกณฑ์ที่สามารถจ่ายเงินเยียวยาได้ จำนวน 70,338 ราย และอยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจสอบสิทธิ์อีก 269 ราย ซึ่งคาดว่าจะจ่ายเงินได้เช่นกัน
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวถึงผลการติดตามประเมินผลโครงการฯ ว่า เกษตรกร 99% พึงพอใจต่อการดำเนินงานโครงการในระดับมาก มีเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่พึงพอใจเนื่องจากยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการ และอยู่ระหว่างอุทธรณ์ เกษตรกร 96% เห็นว่าจำนวนเงินช่วยเหลือ เพียงพอต่อการบรรเทาความเดือดร้อน มีเพียง 4% ที่เห็นว่าจำนวนเงินที่ได้รับไม่เพียงพอ เนื่องจากความเสียหายจากการทำการเกษตรมีมากกว่าจำนวนเงินที่ได้รับ ส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้
สำหรับเกษตรกรที่ได้รับเงินช่วยเหลือ มีการนำเงินไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ โดยเกษตรกรจะนำไปลงทุนทางการเกษตร เช่น ซื้อพันธุ์สัตว์ อาหารสัตว์ ปุ๋ย และซ่อมแซมโรงเรือน เป็นอันดับแรก ที่เหลือนำไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือน ลงทุนนอกการเกษตร เช่น ซื้อสินค้าไปจำหน่ายต่อ และนำไปชำระหนี้สิน/จ่ายค่าเช่า รวมทั้งนำไปใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าซ่อมแซมบ้านใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน เก็บออม เป็นต้น
ทั้งนี้ จากการดำเนินโครงการดังกล่าวทำให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดทำระบบฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกรที่เป็นฐานข้อมูลเดียวกัน ควรมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ กรมที่ดิน ส.ป.ก. จะทำให้การดำเนินงานอื่นๆ หรือการปรับปรุงข้อมูลของหน่วยงานมีความเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ การตรวจสอบคัดกรองข้อมูล จะดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น อีกทั้งหากมีการประชาสัมพันธ์ไปทางกระทรวงมหาดไทย ที่สามารถเข้าถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้ทั่วถึงและรวดเร็วกว่าจะช่วยให้การดำเนินงานโครงการได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น สร้างความตระหนักให้เกษตรกรเห็นความสำคัญของการขึ้นทะเบียน/ปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรเพื่อได้รับการช่วยเหลือในโครงการต่างๆ
นอกจากนี้ เกษตรกรได้ให้ข้อคิดเห็นถึงรูปแบบในการช่วยเหลือเกษตรกรเมื่อเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ หรือเหตุการณ์อื่น โดยต้องการให้จ่ายเงินช่วยเหลือเป็นลำดับแรก รองลงมาคือ การจัดหาตลาด ช่วยกระจายผลผลิตของเกษตรกร การสนับสนุนปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ย ยา พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ หรือ อาหารสัตว์ จัดอบรมให้ความรู้ เพื่อสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการประกอบการเกษตรได้ และช่วยด้านระบบชลประทาน หรือจัดหาแหล่งน้ำ รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการเพาะปลูก และลดดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สศก.จะมีการสำรวจข้อมูลเพื่อประเมินผลอีกครั้งเมื่อโครงการเสร็จสิ้นแล้ว