THG ทุ่ม 100 ลบ. ติดตั้งเครื่องมือแพทย์ “รพ.ธนบุรี บำรุงเมือง” ยกระดับสู่ Smart Hospital
THG ทุ่ม 100 ลบ. ติดตั้งเครื่องมือแพทย์ "รพ.ธนบุรี บำรุงเมือง" ยกระดับสู่ Smart Hospital คาดชัดเจนภายในปลายปี 63
นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดตั้ง “ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม Medical Services” นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ เข้ามาให้บริการเพื่อเพิ่มศักยภาพ และยกระดับโรงพยาบาลเครือ THG สู่ Smart Hospital
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางงบลงทุนเพื่อใช้ในการพัฒนาและติดตั้งเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยไว้ 100 ล้านบาท โดยเริ่มดำเนินการติดตั้งที่โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมืองเป็นที่แรก และจะทยอยไปให้ครบทุกโรงพยาบาลในเครือ
ขณะที่ผ่านมา THG ได้นำเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง อาทิ ระบบทันตกรรมดิจิทัล สามารถทำรากฟันเทียมเสร็จภายใน 1 วันเท่านั้น, ศูนย์ตรวจสุขภาพ (Personalized Wellness Check-Up Center) สามารถให้บริการตรวจสุขภาพแบบครบวงจรภายในที่เดียวและออกแบบโปรแกรมเช็กอัพที่เหมาะกับแต่ละบุคคล นอกจากนี้เตรียมนำหุ่นยนต์ผู้ช่วยบุคลากรทางแพทย์เข้ามาให้บริการภายใน รพ.ธนบุรี บำรุงเมือง เพื่อลดการสัมผัสและเพิ่มขีดความสามารถให้บริการแก่คนไข้และการจัดการภายในโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
“เทรนด์ของโรงพยาบาลในอนาคตจะต้องพัฒนาสู่ Smart Hospital นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ต่างๆ เข้ามาใช้ เช่น ระบบ A.I., เพื่อยกระดับบริการให้ก้าวหน้าล้ำสมัยสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล ช่วยให้คนไข้ที่อยู่ห่างไกลสามารถได้รับคำปรึกษาและเข้าถึงการรักษาได้ทันเวลา ขณะที่โรงพยาบาลสามารถให้บริการคนไข้ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” นายแพทย์บุญ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าเป้าหมายของการเป็น Smart Hospital จะเห็นความชัดเจนได้ภายในปลายปี 63 โดยปัจจุบันมีความคืบหน้าของการพัฒนาแพลตฟอร์มดังกล่าว ซึ่งเป็นการบริการผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก และติดตามผลในเรื่องง่ายๆ ราว 30% แล้ว และเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะนำมาใช้ในเครือโรงพยาบาล THG ทุกแห่ง และจำหน่ายให้กับโรงพยาบาลที่สนใจทั่วโลก
อย่างไรก็ตามมองว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวในอนาคตน่าจะช่วยลดสัดส่วนผู้ป่วยนอก (OPD) ที่จะเข้ามารักษาในโรงพยาบาล THG ลงเหลือ 50% ในปลายปีนี้ และคงเหลือผู้ป่วยที่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาลราว 20% ในอนาคต รวมถึงช่วยย่นระยะเวลาการรักษา หรือการผ่าตัดของผู้ป่วยใน (IPD) ลง ทำให้เอื้อกับการฟื้นตัวของผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก รวมถึงยังช่วยลดต้นทุนด้านบุคลากร พนักงานในโรงพยาบาลลงอีกด้วย