STC คาดผลงานครึ่งปีหลังโตเด่น หลังตุนแบ็กล็อก 400 ลบ.-ยอดขายสินค้าใหม่ส่อเค้าสดใส
STC คาดผลงานครึ่งปีหลังโตเด่น หลังตุนแบ็กล็อก 400 ลบ.-ยอดขายสินค้าใหม่ส่อเค้าสดใส
นายเอกชัย ชัยตระกูลทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสทีซี คอนกรีตโปรดัคท์ จำกัด (มหาชน) หรือ STC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/63 บริษัทฯมีรายได้จากการขายและให้บริการรวมจำนวน 97.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.65 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการฟื้นตัวของงานภาคเอกชนในพื้นที่เมืองพัทยา และงานสาธารณูปโภคของภาครัฐ สนับสนุนให้คอนกรีตสำเร็จรูปได้รับการตอบรับเพิ่มขึ้น และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 6.96 ล้านบาท
ทั้งนี้ เนื่องจาก บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น และสามารถบริหารค่าใช้จ่ายในการบริหารได้ลดลง โดยยังคงความสามารถในการรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้อย่างดี มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27.42 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28 ของรายได้จากการขายและบริการ และเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก 2563 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการรวมจำนวน 227.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.54 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.07 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 196.22 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 15.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.52 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 73.42 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 8.88 ล้านบาท
“ภาพรวมไตรมาส 2/2563 มีการเติบโต ในท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมีการล็อกดาวน์ปิดเมืองในจังหวัดชลบุรีราว 1 เดือน แต่ STC ไม่กระทบสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากงานก่อสร้างยังคงเดินหน้าส่งมอบได้ตามแผน รับอานิสงส์การลงทุนงานโครงสร้างพื้นฐานในเมืองพัทยาและพื้นที่ใกล้เคียง รวมทั้งงานนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการลงทุน EEC ที่เริ่มชัดเจนมากขึ้น
อีกทั้ง ปกติในไตรมาส 2 จะเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน และวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ แต่บริษัทฯ มีออเดอร์ในมือที่รอส่งมอบ ทำให้ยอดขายเติบโต และความสามารถในการทำกำไรที่โดดเด่นขึ้น จากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ โดยในงวดไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ผันแปรตามยอดขายที่สูงขึ้น และมีค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลง 1.34 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 58 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปชำระคืนเงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงิน”
อย่างไรก็ดี ในไตรมาส 2/63 บริษัทฯ มีสัดส่วนงานภาคเอกชนอยู่ที่ 20% และงานภาครัฐ 80% ส่วนใหญ่เป็นงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐบาล และเป็นโปรเจ็กต์ต่อเนื่องระยะยาวครอบคลุมการให้บริการในพื้นที่ภาคตะวันออกเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และขยายไปยังพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กระตุ้นให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ บริษัทฯ เห็นสัญญาณงานภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานโครงการที่อยู่อาศัย
สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลัง ปี 2563 คาดว่าจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงทยอยส่งมอบงาน ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือที่รอส่งมอบราว 400 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นงานประเภทสาธารณูปโภคพื้นฐาน จ่อรอรับรู้รายได้ในปี 2563 เป็นส่วนใหญ่ รวมทั้ง ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์คอนกรีตใหม่ตอบสนองงานระบบ Landscape ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อนำมาใช้ทดแทนผลิตภัณฑ์เก่า เริ่มมียอดขายเข้ามาในไตรมาส 3 นี้บางส่วนแล้ว และยังอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญารับงานใหม่เพิ่มเติมอีก จึงมั่นใจเป้าหมายรายได้ปีนี้คาดจะเติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ 422 ล้านบาท มั่นใจจะเป็นไปตามที่วางไว้ได้