PTG คาด EBITDA ปีนี้โต 10% รับยอดขายน้ำมันฟื้น-ผลงานไตรมาส 2 สดใส
PTG คาด EBITDA ปีนี้โต 10% รับยอดขายน้ำมันฟื้น-ผลงานไตรมาส 2 สดใส
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 513 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 20.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายและการเข้มงวดในการลงทุนของบริษัทฯ ประกอบกับการที่ค่าการตลาดในไตรมาสนี้ดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) อยู่ที่ 1,646 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 287 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 21.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการบริการอยู่ที่ 22,257 ล้านบาท ลดลง 9,587 ล้านบาท หรือลดลงคิดเป็น 30.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายน้ำมันที่ปรับตัวลดลงกว่า 30.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลกระทบจากการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ( COVID-19) ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันภาพรวมของประเทศลดลง 7.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
แต่อย่างไรก็ดี ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันของบริษัทฯ ไม่ได้ลดลงตามอุตสาหกรรม โดยมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันทั้งสิ้น 1,205 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการมีสาขากระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ และจากฐานลูกค้าหลักของบริษัทฯเป็นผู้ใช้น้ำมันดีเซลหรือผู้ใช้น้ำมันเพื่อการประกอบอาชีพ จึงยังทำให้บริษัทฯ ยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดผ่านทุกช่องทางเป็นอันดับ 2
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯคาดปริมาณการใช้น้ำมันในประเทศเริ่มกลับมาเติบโตในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันของบริษัทฯ ในครึ่งปีหลังเติบโตอยู่ที่ 8-12% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันทั้งปีปรับเพิ่มขึ้น 6-10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยจะทำให้ EBITDA โตเพิ่มขึ้น 6-10% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศประกอบกับบริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มปริมาณการขายของสาขาเดิมโดยการการปรับปรุงสาขาให้มีความทันสมัย และครอบคลุมการให้บริการต่างๆ เพิ่มขึ้น
“บริษัทฯ ยังคงเป้าการขยายสาขาของสถานีบริการน้ำมันและแก๊สแอลพีจีที่ 50-100 สาขา ให้เป็น 2,100 สาขา และขยายสาขาธุรกิจ Non-Oil อีกประมาณ 100 สาขา ให้เป็น 700 สาขา ภายในปี 2563 นี้ โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนโดยประมาณอยู่ที่ 3,000-3,500 ล้านบาท ถือเป็นการเพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้และทำกำไรให้บริษัทฯ เพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีเป้าหมายในการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่เดิมให้เกิดประโยชน์มากที่สุด พร้อมกับเชื่อมโยงระบบบัตรสมาชิกกับพันธมิตรที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือบัตร สร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า และยังช่วยลดต้นทุนในด้านต่างๆ ในระยะยาวได้อีกด้วย”
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 63 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2562 – 31 ธ.ค. 2562 เป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 334 ล้านบาท โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผลในวันที่ 27 ส.ค. 63 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 ต.ค. 2563