RS ชูกลยุทธ์ Entertainmerce ปรับแผนธุรกิจ หวังสร้างรายได้เพิ่ม-เสริมแกร่งกิจการ
RS ชูกลยุทธ์ Entertainmerce ปรับแผนธุรกิจ หวังสร้างรายได้เพิ่ม-เสริมแกร่งกิจการ
นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS เปิดเผยว่า บริษัทฯ ปรับเป้ารายได้ปีนี้ลงเหลือโต 4,200-4,300 ล้านบาท จากเดิมคาดเติบโต 30% อยู่ที่ 5,250 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 3,621.86 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจมีเดียและอีเว้นท์ ทำให้ไม่สามารถจัดงานได้ ซึ่งบริษัทฯ ก็ถือโอกาสนี้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ทั้งหมด และรีแบรนด์องค์กร รวมถึงปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ด้วยการดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ Entertainmerce ซึ่งเชื่ออย่างยิ่งว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของกลุ่มธุรกิจในปีนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,823.71 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 295.09 ล้านบาท ผ่านการดำเนินธุรกิจปัจจุบัน โดยเฉพาะธุรกิจคอมเมิร์ช ประกอบด้วย อาร์เอส มอลล์ (RS Mall) คาดว่ารายได้ในครึ่งปีหลังนี้จะทำสถิติสูงใหม่ต่อเนื่องทุกไตรมาส จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และร่วมกับโทรทัศน์ช่อง 8 นำเสนอสินค้าผ่านการเล่าเรื่องราวแตกต่าง และยังมีพันธมิตรเป็นดิจิทัลทีวีชั้นนำหลากหลายช่อง รวมทั้งมีเทเลเซลล์กว่า 500 คนเพื่อให้บริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนั้น บริษัทยังมีระบบบการนำข้อมูลของลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และสร้างแคมเปญ CRM ที่หลากหลายเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้ตรงสุด ปัจจุบันมีฐานข้อมูลกว่า 1.4 ล้านรายที่มีการซื้อซ้ำมากกว่า 2 ครั้งต่อปี และด้วยความแตกต่างและจุดแข็งข้างต้น ทำให้ในปี 63 คาดว่า อาร์เอส มอลล์ จะสามารถสร้างยอดขายทุบสถิติตั้งแต่ไตรมาส 2/63 ที่มีรายได้ 586.2 ล้านบาท และเชื่อมั่นว่าจะเติบโตต่อไปในทุกไตรมาสด้วยอัตราก้าวกระโดด
ขณะที่แผนธุรกิจของ บริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด ผู้นำนวัตกรรมด้านสุขภาพและความงามระดับโลก ในครึ่งปีหลังนี้จะก้าวไปไกลกว่าการขายผ่านช่องทางของ อาร์เอส มอลล์ โดยจะขยายไปสู่จุดขายต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ได้แก่ ออนไลน์มาร์เก็ตเพลส โมเดิร์นเทรด ร้านขายส่ง ร้านขายยา ร้านสะดวกซื้อ และไดเร็คเซลล์ ซึ่ง RS วางกลยุทธ์ร่วมกับพันธมิตรสื่อที่แข็งแกร่ง ใช้ศักยภาพและความเชี่ยวชาญของ อาร์เอส กรุ๊ป ผสานพลังกับกลยุทธ์ที่เป็นหัวใจสำคัญมากที่สุดของไลฟ์สตาร์ คือ การร่วมพัฒนาสินค้ากับสถาบันวิจัยระดับโลก เพื่อเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ และตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำนวัตกรรมระดับสากลมาสู่ผู้บริโภคคนไทย
ด้านธุรกิจสื่อและบันเทิง ประกอบด้วย สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ เก้าอี้ 4 ขา กระจายรายได้มาจาก 4 ช่องทาง ได้แก่ มีเดียสปอนเซอร์ 40% การจัดอีเวนท์ 10% การขายลิขสิทธิ์ 15% และ Entertainmerce 35% ซึ่งในครึ่งปีหลังนี้ ช่อง 8 พร้อมจัดเต็มความบันเทิงเพื่อธุรกิจพาณิชย์กับรายการ “นายจ๋าทาสมาแล้ว” ที่จะช่วยสนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ บริษัท ไลฟ์สตาร์ ผลิตขึ้น และรายการ “ราคาพารวย” เป็นครั้งแรกในการนำเวลาไพร์มไทม์มาทำรายการสนับสนุนโมเดลธุรกิจ Entertainmerce และเป็นครั้งแรกในการซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศมาประยุกต์ใช้เพื่อเปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นผู้ซื้อสินค้า
ส่วนธุรกิจวิทยุคูลลิซึ่ม (COOLISM) ปัจจุบันเดินหน้าด้วยกลยุทธ์แม่น้ำ 3 สาย กระจายรายได้หลักออกเป็น 3 ทาง ลดการพึ่งพารายได้ช่องทางใดช่องทางหนึ่ง เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์นี้จะสามารถสร้างการเติบโตครั้งใหม่แบบก้าวกระโดด และเป็น นิว เอส เคิร์ฟ ในรอบ 15 ปีของคูลลิซึ่ม
สำหรับสัดส่วนรายได้จากกลยุทธ์แม่น้ำ 3 สาย ประกอบด้วย Coolfahrenheit มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 40% ด้วยจำนวนเรตติ้งและคนฟังคลื่นคูลฟาเรนไฮต์ที่ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง, COOLive มีสัดส่วนรายได้ 30% ด้วยการยกระดับการทำงานด้านคอนเสิร์ตและอีเวนท์ ให้เป็นหน่วยธุรกิจอิสระ สร้างสรรค์คอนเสิร์ต และมิวสิค เฟสติวัล โดยในปี 64 เตรียมจัดงานทั้งหมด 10 งาน ที่มีทั้งศิลปินชั้นนำระดับประเทศและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าเข้าถึงผู้ชมคอนเสิร์ตทั้งหมดกว่าหนึ่งแสนคน และ COOLanything มีสัดส่วนรายได้ 30% เป็นส่วนหนึ่งของโมเดล Entertainmerce ที่เปลี่ยนผู้ฟังให้เป็นลูกค้า สร้างประสบการณ์ที่ดีในการช้อปปิ้ง ด้วยสินค้าคุณภาพที่รู้ใจและการบริการที่เข้าใจ ผ่านแอปพลิเคชันคูลลิซึ่ม ซึ่งเป็นต้นน้ำแหล่งใหม่ สำหรับยุคที่การช้อปปิ้งออนไลน์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ฟังเพลงได้ ช้อปเพลิน ในแอปเดียว’
พร้อมกันนี้ ธุรกิจเพลง หรือ อาร์เอส มิวสิค บริษัทฯ ได้กลับมามุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจค่ายเพลงอีกครั้ง โดยมีการปรับโมเดลธุรกิจใหม่ภายใต้ ‘Music Star Commerce’ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ศิลปิน และสอดคล้องกับธุรกิจของอาร์เอส กรุ๊ป โดยในเดือนต.ค.นี้ เตรียมเปิดตัวศิลปินใหม่ ผ่าน 3 ค่ายเพลง ได้แก่ Rsiam, Kamikaze และ Rose Sound ซึ่งบริษัทฯ คาดหวังว่าจะกลับมาสร้างรายได้เติบโตให้ในปี 64 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม การกลับมาของ อาร์เอส มิวสิค ในครั้งนี้จะสร้างปรากฏการณ์ให้วงการเพลงของไทยอีกครั้งเพื่อเติมเต็มความรู้สึกให้คนไทยได้หายคิดถึงเพลงในแบบฉบับของ อาร์เอส อย่างแน่นอน และเป็นก้าวใหม่ที่ท้าทายของ อาร์เอส มิวสิค ด้วย
“วันนี้บริษัทยังได้ประกาศรีแบรนด์องค์กรอย่างเป็นทางการ เพื่อสื่อสารภาพลักษณ์ใหม่ และส่งต่อพันธกิจใหม่ไปสู่ผู้คน รวมถึงปรับโครงสร้างองค์กร โดยใช้แนวคิดการทำงานแบบ Agile มุ่งทำงานเป็นทีม ลดโครงสร้างและขั้นตอนที่ยุ่งยาก เพื่อให้การทำงานรวดเร็วขึ้นและสื่อสารกันได้โดยตรง ด้วยเป้าหมายเดียวกันคือ สร้างแรงบันดาลใจ เติมเต็มชีวิตผู้คนด้วยความบันเทิง สินค้า และบริการที่สร้างสรรค์และมีคุณค่า”
โดยทุกคนใน อาร์เอส กรุ๊ป ต้องมีค่านิยม 4 ประการ ฝังอยู่ในดีเอ็นเอ ได้แก่ Inspiring (แรงบันดาลใจ) Passionate (แรงผลักดัน) Inquisitive (ใฝ่เรียนใฝ่รู้) และ Goal-Oriented (แน่วแน่ที่เป้าหมาย) ภายใต้โมเดลธุรกิจ Entertainmerce ซึ่งเป็นการดึงศักยภาพ ความเชี่ยวชาญจากธุรกิจสื่อและธุรกิจบันเทิงในมือออกมาใช้ให้มากที่สุด สร้างคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์และน่าสนใจ เพื่อเปลี่ยนผู้ชมและผู้ฟังเป็นผู้ซื้อ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการ Synergy กันระหว่างกลุ่มธุรกิจในเครือ ที่สามารถควบคุมและบริหารงานได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
“เรามั่นใจว่าจากการรีแบรนด์องค์กรและปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ภายใต้โมเดลธุรกิจ Entertainmerce จะสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในปีนี้ และผลักดันรายได้ให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ระดับ 10,000 ล้านบาท จากปีนี้ คาดว่าจะเติบโตเป็น 4,200-4,300 ล้านบาท มาจากธุรกิจคอมเมิร์ซ 65%, TV 20-25% และธุรกิจเพลง 5-7% ที่เหลือเป็นธุรกิจวิทยุ และในอีก 3 ปีข้างหน้าคาดจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจคอมเมิร์ซเพิ่มเป็น 85% ที่เหลือเป็นอื่นๆ”