ตอกย้ำรัฐถังแตก? ครม.ไฟเขียวกู้เพิ่ม 2.14 แสนล้าน หลังเงินคงคลังส่อเกลี้ยง รายได้หด

“สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ” เผยที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติ "กระทรวงการคลัง" กู้เงินเพิ่มอีก 2.14 แสนล้านหลังเงินคงคลังส่อเกลี้ยง ไม่พอใช้จ่ายในประเทศ รายได้หด


นางแพตริเซีย มงคลวานิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2563 ครั้งที่ 2 โดยให้กระทรวงการคลังกู้เงินปีงบประมาณ 2563 เพิ่มอีก 214,093 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้ในกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ เพราะมีการคาดว่ารายได้ปีนี้ จะจัดเก็บได้ต่ำกว่า 9% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือ กว่า 3 แสนล้านบาท

ดังนั้น เงินคงคลังอาจจะมีไม่เพียงพอในการใช้จ่ายของประเทศ ซึ่งล่าสุดได้รับรายงานว่าเงินคงคลังเหลือน้อยมาก เนื่องจากไม่มีรายได้ เพราะมีการเลื่อนการยื่นแบบชำระภาษีเงินได้ ทำให้คลังคาดว่าจะเริ่มมีเงินเข้าในช่วงเดือน ก.ย. จึงจำเป็นต้องให้คลังให้เปิดวงเงินกู้ดังกล่าว

โดย สบน.จะประเดิมกู้ส่วนแรก 50,000 ล้านบาท โดยการออกเป็นพันธบัตรออมทรัพย์ขายให้ประชาชนทั่วไปในเดือน ก.ย.

“วงเงินกู้ 2.14 แสนล้านบาทที่เพิ่มขึ้น เป็นคนละส่วนการกู้เพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณ 2563 จำนวน 4.69 แสนล้านบาท ซึ่งมีการกู้ไปจนเต็มหมดแล้ว และการกู้เงินเพื่อมาใช้จ่ายกรณีที่รายจ่ายมากกว่ารายได้ในปี 2563 ไม่ได้ทำเป็นครั้งแรกของประเทศ โดยเคยกู้เงินลักษณะนี้ในปีที่ไทยจะวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์มาแล้ว เนื่องจากตอนนั้นรายจ่ายมากกว่ารายได้ที่เก็บได้เช่นกัน”

นางแพตริเซีย กล่าวว่า ตามกฎหมาย คลังสามารถกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณได้ 20% ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย บวกกับอีก 80% ของต้นเงินชำระเงินกู้ ซึ่งในปี 2563 จะสามารถกู้ได้ 6.38 แสนล้านบาท ซึ่งการกู้เงินเพื่อชดเชยขาดดุล และการกู้กรณีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ดังกล่าว ถือว่าเป็นการกู้เต็มจำนวนตามกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้

ทั้งนี้ การกู้เงินเพิ่มกรณีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ไม่ได้ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะมีปัญหา โดยล่าสุดอยู่ที่ 45.83% ของจีดีพี และคาดว่าสิ้นปีงบประมาณนี้จะอยู่ที่ 51-52% ของจีดีพี และสิ้นปีงบประมาณ 2564 อยู่ที่ 57-58% ของจีดีพี ส่วนการกู้เงินตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ขณะนี้คลังกู้ไปแล้ว 3.18 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือคาดว่าจะกู้ในปีงบประมาณ 2564 ตามความต้องการใช้เงินของรัฐบาลในแต่ละโครงการ

 

Back to top button