“กลุ่มเจมาร์ท” ท็อปฟอร์ม! จับตาผลงานครึ่งปีหลังสุดแจ่ม กำไร “นิวไฮ” ทุกธุรกิจ
“กลุ่มเจมาร์ท” ท็อปฟอร์ม! จับตาผลงานครึ่งปีหลังสุดแจ่ม กำไร “นิวไฮ” ทุกธุรกิจ
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า ภาพรวมเจมาร์ทมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจการเงิน และธุรกิจเทคโนโลยี ในช่วงที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ ทุกบริษัทในเครือมีความสามารถในการทำกำไร สนับสนุนให้ผลประกอบการไตรมาส 2/2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทำสถิติกำไรไตรมาสสูงที่สุดของบริษัทฯ อยู่ที่ 161 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับร้อยละ 36 อัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 6.6 ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 2,326 ล้านบาท
“ในช่วงเวลาที่ผ่านมาถือเป็นช่วงวิกฤติที่สุดครั้งหนึ่ง แต่บริษัทในกลุ่มก็สามารถสร้างการเติบโตของกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ นับเป็นความท้าทายในการดำเนินธุรกิจภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ผมเชื่อมั่นว่าเป็นเพราะพื้นฐานโครงสร้างธุรกิจที่วางไว้อย่างรอบคอบ และความแข็งแกร่งในพลัง Synergy วางจุดยืนเจมาร์ทเป็นอินเวสเมนท์คอมพานี ที่พร้อมจะลงทุนในธุรกิจที่เป็นโอกาส บริหารเงินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีกำไรที่ดี มองครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการนิวไฮ ที่เริ่มเก็บเกี่ยวกำไรหลังลงทุนในบริษัทย่อยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ทั้ง JAYMART MOBILE, JMT, J Fintech, SINGER, JAS ASSET, Beans and Brown และ J Ventures คาดผลงานครึ่งปีหลังจะทำได้ดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก และมีศักยภาพการเติบโตก้าวกระโดด” นายอดิศักดิ์ กล่าว
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยถึง ภาพรวมธุรกิจบริหารหนี้ปีนี้จะโดดเด่น เป็นธุรกิจที่แข็งแกร่งในทุกสภาวะเศรษฐกิจ โดยผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทำสถิติกำไรไตรมาสสูงที่สุดของบริษัทอย่างต่อเนื่องอีกครั้งอยู่ที่ 227 ล้านบาท
โดยเติบโตร้อยละ 52 จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับร้อยละ 66 อัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 30 มีรายได้รวมอยู่ที่ 762.4 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 28.8 มีสัดส่วนรายได้มาจาก 3 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจติดตามหนี้ สัดส่วนรายได้ 12% ธุรกิจซื้อหนี้เข้ามาบริหาร 79% และธุรกิจประกันผ่านบริษัทย่อย 9% สำหรับยอดจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) ในช่วงครึ่งปีแรกเท่ากับ 1,699 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 20 และตั้งเป้าหมายสิ้นปีมียอดจัดเก็บหนี้ที่ 4,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ คาดผลงานครึ่งปีหลังมีโอกาสเติบโตกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากในไตรมาส 2 มีกองหนี้ที่ Fully Amortized ตัดมูลค่าเงินลงทุนหมด ทำให้ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 บริษัทฯ จะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาเต็มๆ สนับสนุนการรับรู้กำไรอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น ประกอบกับโอกาสในการประมูลซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มเติมแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ณ สิ้นไตรมาส 2/2563 บริษัทฯ มีพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพรวมประมาณ 189,156 ล้านบาท จากไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 180,300 ล้านบาท และใช้เงินในการซื้อหนี้แล้วประมาณ 1,983 ล้านบาท จากงบลงทุนซื้อหนี้ปีนี้ที่วางไว้ประมาณ 4,000 – 4,500 ล้านบาท คาดจะทำได้มากกว่านั้น โดยบริษัทฯ เตรียมงบลงทุนเพิ่มเติมรอไว้แล้ว
อย่างไรก็ดี JMT เป็นผู้นำในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพแบบไม่มีหลักประกันรายใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต มีอัตราการเพิ่มขึ้นสูง และมองโอกาสหนี้ในกลุ่ม SME ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ สามารถให้ JMT เข้าไปรุกซื้อหนี้มาสนับสนุนพอร์ตเพิ่มเติม เพิ่มความสามารถในการรับรู้รายได้ให้ JMT เติบโตอย่างก้าวกระโดดยิ่งขึ้น
ขณะที่ บริษัท เจพี ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นร้อยละ 55 มีการเติบโตที่ดีขึ้น ประสบความสำเร็จในกลยุทธ์การปรับเพิ่มสัดส่วนงาน Non-motor ที่มี Loss Ratio ลดลง และมุ่งเน้น Insure Tech ปัจจุบัน มีเบี้ยประกันรับสะสมงวดครึ่งปีแรกอยู่ที่ 202 ล้านบาท และสามารถพลิกผลงานกลับมาทำกำไรในไตรมาส 2 นี้
นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2563 ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากภาพรวมสินเชื่อเช่าซื้อกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน โดยเฉพาะยอดขายแอร์ที่โดดเด่น ประกอบกับพอร์ตสินเชื่อรถทำเงินที่เติบโตแรง และเป็นดาวเด่นในปีนี้ เนื่องจากเป็นพอร์ตสินเชื่อคุณภาพ NPL ในระดับต่ำไม่ถึง 1% ควบคู่การนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนในการอนุมัติสินเชื่อที่รัดกุม ผลจากการปรับโครงสร้างองค์กรในช่วงที่ผ่านมา และเป็นไปตามมารตรฐานบัญชีใหม่
ล่าสุดประกาศ ผลการดำเนินงานประจำครึ่งปีแรก 2563 ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ในรอบ 23 ปี มีกำไรสุทธิ 202 ล้านบาท เติบโตจากงวดครึ่งปีแรกของปีก่อนร้อยละ 119.6 และเติบโตกว่าปี 2562 ทั้งปีที่ทำได้ 165.89 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 1,722 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.1 มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 45.4 อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 11.7
ด้านผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2563 มีกำไรสุทธิ 115 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 121.2 โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น และการปรับโครงสร้างองค์กรในช่วงที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ ไม่กระทบสถานกาณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ประกอบกับ ปัจจุบันมีตัวแทนขายซิงเกอร์เพิ่มขึ้นอยู่ที่ราว 2,000 ราย กระจายอยู่ทั่วประเทศ มีสาขาแฟรนไชส์ราว 1,500 แห่ง ครอบคลุม 579 อำเภอ จากแผนที่ตั้งไว้ปีนี้จะมี 2,000 แห่ง สะท้อนภาพรวมในตลาดต่างจังหวัดที่ยังเข้มแข็ง และธุรกิจแฟรนไชส์มีส่วนสนับสนุนในการสร้างรายได้ให้ SINGER ราวร้อยละ 50
โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 บริษัทฯ มีพอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ 4,657 ล้านบาท แบ่งเป็นพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ (Hire purchase) 2,498 ล้านบาท และพอร์ตสินเชื่อรถทำเงิน (C4C) 2,159 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53.6 และร้อยละ 46.4 ตามลำดับ ของสินเชื่อรวมทั้งหมด คาดครึ่งปีหลังภาพรวมการเติบโตจะยังดีต่อเนื่อง สนับสนุนแผนการปล่อยสินเชื่อรถทำเงินให้เติบโตมากขึ้น ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อรวมปีนี้วางไว้จะเติบโตแตะ 5,800 ล้านบาท จากปีก่อนมีพอร์ตสินเชื่อรวมกว่า 3,600 ล้านบาท หรือโตกว่าร้อยละ 61 และเป็นการโตจากพอร์ตสิ้นเชื่อคุณภาพ ส่วนการตั้งสำรองและการจัดเก็บหนี้ทำได้มีประสิทธิภาพขึ้น
ขณะที่ ภาพรวมหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) ของบริษัทฯ ในงวดครึ่งปีแรกลดลงอยู่ที่ร้อยละ 6.49 ดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้ร้อยละ 7 และจากไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ระดับร้อยละ 8.1
นายสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจพื้นที่เช่าและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยถึง แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากรายได้ธุรกิจพื้นที่เช่า และการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมสนับสนุน ควบคู่การคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ดีอย่างต่อเนื่อง
โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีพื้นที่ในการบริหารพื้นที่เช่ารวม 60,000 ตารางเมตร คาดปี 2564 จะมีเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 75,000 ตารางเมตร ล่าสุด ได้เปิดตัวศูนย์การค้าชุมชนแห่งใหม่ได้ตามแผน ที่ JAS Village Amata-Chonburi เริ่ม Soft Opening แล้วเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2563 ปัจจุบัน มีอัตราเช่าพื้นที่กว่า 95% เป็นกระแสรายได้เพิ่มเติมจากธุรกิจให้เช่าในส่วนของศูนย์การค้า รวมถึงโครงการ JAS Village คู้บอน บนถนนคู้บอน ที่อยู่ระหว่างเตรียมดำเนินการก่อสร้าง ส่วนภาพรวมโครงการคอนโดมิเนียม Newera ตั้งเป้าจะโอนห้องชุดให้ได้ครบ 100% ในปี 2563 นี้ สำหรับธุรกิจพื้นที่เช่ามือถือ IT Junction บริษัทฯ ตัดสาขาที่ไม่ทำกำไรออก สนับสนุนให้สิ้นปียังคงความสามารถในการทำกำไรได้ต่อเนื่องอย่างสวยงาม
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประจําไตรมาส 2/2563 มีผลกําไรสุทธิ 4.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนราว 126.2% รายได้รวม อยู่ที่ 95.7 ล้านบาท และผลประกอบการงวด 6 เดือนแรก ปี 2563 มีกําไรสุทธิ 21.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 222% และเติบโตกว่าปี 2562 ทั้งปี ซึ่งทำกำไรสุทธิได้ 17.21 ล้านบาท
โดยสาเหตุสำคัญมาจากการบริหารจัดการต้นทุน และการควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างดีเยี่ยม แม้ในท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้มีการล็อกดาวน์ (Lock Down ) ต้องปิดห้างสรรพสินค้าและพื้นที่เช่าช่วงในไตรมาส 2 แต่บริษัทก็สามารถทำผลงานให้พลิกกลับมาเป็นกำไรได้
นายกิติพัฒน์ ชลวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด (J FINTECH) ดำเนินธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้แบรนด์ “J Money” เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังพร้อมขยายการเติบโตในธุรกิจสินเชื่อ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ภายหลังการจับมือเป็นพันธมิตรดำเนินธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ร่วมกับ KB Kookmin Card Co., Ltd ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการบัตรเครดิตการ์ด และ สินเชื่อส่วนบุคคลรายใหญ่ของเกาหลีใต้ เข้ามาขยายการเติบโตในประเทศไทย คาดจะสร้างโอกาสใหม่ๆ และเริ่มเห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 3 – 4 ปีนี้
ล่าสุด ผลประกอบการไตรมาส 2/2563 มีกำไรสุทธิ 5.7 ล้านบาท มีลูกค้าทั้งรายย่อยและ SME รวมกว่า 120,000 ราย มูลค่าของพอร์ตสินเชื่ออยู่ที 3,487 ล้านบาท NPL Ratio ลดลงอยู่ที่ 7.3% ตั้งเป้าจะขยายพอร์ตสินเชื่อต่อเนื่องโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการอนุมัติสินเชื่อในรูปแบบฟินเทคที่ครบวงจร ผ่านการร่วมมือของบริษัทในเครือ
นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด หรือ JAYMART MOBILE ผู้ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายมือถือและอุปกรณ์เสริม เปิดเผยถึง ผลประกอบการในไตรมาส 2/2563 มียอดขายกว่า 1,300 ล้านบาท ลดลงเนื่องจากมีการปิดสาขาตามมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในสถานการณ์โควิด-19 แต่ด้วยการควบคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม ทำให้บริษัทฯ ยังคงมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8 ล้านบาท และการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายจะส่งผลบวกต่อเนื่องในไตรมาส 3/2563
ตั้งเป้าครึ่งปีหลังโตแรงรับปัจจัยบวก 5G และสินค้าใหม่เปิดตัว เป็นไฮซีซั่นธุรกิจ พร้อมนำสินค้ากลุ่มแก็ดเจ็ตและสินค้าเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง และอัตรากำไรที่ดี มาขยายผ่านสาขา Jaymart และ Jaymart ioT มากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ณ ครึ่งปีแรก 2563 มีสาขาภายใต้การบริหารของบริษัทราว 191 สาขา ควบคู่การรุกขยายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายออนไลน์อยู่ที่ 10% ของยอดขายทั้งหมด รวมถึง การจัดแคมเปญส่งเสริมการขายต่างๆ นำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน และแผนการ Synergy ในกลุ่มเสริมแกร่ง ควบคู่กลยุทธ์การบริหารจัดการภายในที่ดีอย่างต่อเนื่อง
นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ JVC เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาระบบสินเชื่อแบบดิจิทัลที่ไม่มีตัวกลาง JFIN DDLP (Decentralized Digital Lending Platform) บนเทคโนโลยีบล็อกเชนมาตรฐานโลก แล้วเสร็จและพร้อมใช้งานได้ในเดือนสิงหาคม ปี 2562 ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการเดิมที่วางไว้ พร้อมพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนธุรกิจในกลุ่มเจมาร์ท และต่อยอดธุรกิจฟินเทคได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
รวมไปถึงการนำเอาแพลตฟอร์ม ที่ชื่อ JDID มาใช้งานจริง จากที่ผ่านมาเราได้นำไปใช้กับระบบ AGM มาแล้ว และประสบความสำเร็จอย่างมากในการพัฒนาแพลตฟอร์มการจัดประชุมผู้ถือหุ้นโดยใช้ระบบ e-KYC บนมาตรฐานของ NDID Platform และนำ e-Voting ผ่านระบบ Blockchain มาใช้เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ย้ำการเป็นกลุ่มผู้นำในเรื่องของเทคโนโลยีต่อเนื่อง และอยู่ระหว่างพัฒนาแอปพลิเคชั่นใหม่ๆ ที่เป็นโอกาส