SEAFCO หั่นเป้ารายได้ปีนี้เหลือ 3 พันลบ. รับ “โควิด” ทำส่งมอบงานล่าช้า-ขาดแคลนแรงงาน
SEAFCO หั่นเป้ารายได้ปีนี้เหลือ 3 พันลบ. รับ "โควิด" ทำส่งมอบงานล่าช้า-ขาดแคลนแรงงาน
นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดรายได้ในปีนี้ลงเหลือ 3 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% จากปีก่อนหรือมาอยู่ที่ 3.3 พันล้านบาท จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้บริษัทต้องเลื่อนการส่งมอบงานออกไปในช่วงล็อกดาวน์ เพราะไม่สามารถเข้าพื้นที่ทำงานติดตั้งเสาเข็มและงานฐานราก จึงทำให้เกิดความล่าช้า ประกอบกับการขาดแคลนแรงงานตั้งแต่ช่วงโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้งานส่วนใหญ่ที่ได้รับมาต้องเลื่อนการส่งมอบออกไป
ขณะเดียวกัน งานใหม่เกิดการหยุดชะงักและปริมาณงานลดลงจากการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การประมูลงานใหม่ถูกเลื่อนออกไป และงานใหม่ๆ ของภาคเอกชนลดลง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชะลอการเปิดโครงการใหม่ที่เป็นคอนโดมิเนียม และอาคารสูง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้บริษัทไม่มีงานใหม่ที่เป็นงานระยะสั้นเข้ามา ทำให้กระทบต่อรายได้ของบริษัทด้วยเช่นกัน
ส่วนการรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะมีงานที่รับรู้เข้ามาราว 1.4-1.5 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นงานที่เลื่อนการส่งมอบมาจากครึ่งปีแรก โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ทั้งหมดกว่า 2.1 พันล้านบาท โดย Backlog ส่วนที่เหลือ อีกราว 600-700 ล้านบาทจะรับรู้รายได้เข้ามาทั้งหมดในปี 64
ขณะที่บริษัทยังคงเดินหน้าประมูลงานใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้มี Backlog ที่รองรับรายได้และการเติบโตของธุรกิจในอนาคต แต่ยอมรับว่าการประมูลงานภาคเอกชนในช่วงที่เหลือของปีนี้คงยังไม่เห็นออกมามานัก เพราะผู้ประกอบการต่างๆ ยังคงชะลอการลงทุนจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจที่ยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวกลับมาได้รวดเร็ว ซึ่งงานที่คาดว่าจะออกมาบ้างส่วนใหญ่นั้นเป็นงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทยอยออกมาบ้างในช่วงครึ่งปีหลังนี้
ทั้งนี้บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวเสาเข็มและงานฐานรากยังคงต้องรอความชัดเจนจากผู้รับเหมาหลักที่ได้งานโครงการจากภาครัฐว่าจะเป็นผู้รับเหมารายใด เพราะงานโครงการภาครัฐส่วนใหญ่บริษัทจะเป็นผู้รับเหมาช่วง (Subcontractor) โดยที่ในส่วนของงานใหม่ในครึ่งปีหลังนี้คาดว่าจะได้รับงานเข้ามาราว 100 ล้านบาท จากงานที่บริษัทจะเข้าร่วมประมูลและติดตามงานอยู่ทั้งหมด 4.9 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการภาครัฐ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนงานภาครัฐสูงถึง 72% และงานภาคเอกชน 28%
ด้านการรับงานในต่างประเทศบริษัทยังคงเน้นการรับงานในเมียนมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาถึงปัจจุบันงานจะชะลอตัวไปจากโควิด-19 เช่นกัน โดยบริษัทมี Backlog งานในเมียนมาเหลือเพียง 49 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตเหลืออยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งบริษัทยังอยู่ระหว่างการดูสถานการณ์ของผู้ประกอบการในเมียนมา และคาดว่าจะงานใหม่เห็นเข้ามาในช่วงไตรมาส 4/63
ส่วนในกัมพูชา บริษัทได้ชะลอแผนการเข้าไปรับงานไว้ตั้งแต่ช่วงเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 เพราะอาจจะมีผลกระทบต่อการรับงาน จากความเสี่ยงของโควิด-19 ทำให้งานโครงการต่างๆ เกิดการหยุดชะงัก จึงขอรอดูสถานการณ์ให้แน่นอนก่อน