เอกชนชี้ ค้าโลกเปลี่ยนหลัง “โควิด” แนะ “พาณิชย์” ปรับโครงสร้างศก. เพิ่มศักยภาพส่งออก
ภาคเอกชนชี้ ภูมิทัศน์การค้าโลกเปลี่ยน หลังวิกฤต "โควิด" แนะ “พาณิชย์” ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ พัฒนาภาคผลิต เพิ่มศักยภาพส่งออก
นายสมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานวิจัย และหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ “ทิศทางเศรษฐกิจการค้าไทยในยุคโควิดภิวัตน์” จัดโดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ว่า สถานการณ์ปัจจุบันมีความไม่แน่นอนและความเสี่ยงสูง ประเทศไทยได้รับผลกระทบมากจากการที่พึ่งพาทั้งอุปสงค์และอุปทานจากต่างประเทศ ดังนั้น ไทยต้องลดความเสี่ยงหรือบริหารความเสี่ยงให้ดีขึ้น อุปทานสินค้าอาจเริ่มกลับมา แต่อุปสงค์ยังไม่เหมือนเดิม การค้าอาจกลับมาดีขึ้น แต่ยังไม่น่าจะเท่าก่อนจะเกิดวิกฤตโควิด จากปัจจัยทั้งเรื่องการท่องเที่ยวที่อาจใช้เวลากว่าจะฟื้นตัว รวมทั้งการค้าสินค้าและบริการอื่นๆ
ดังนั้น ไทยจึงควรมุ่งเน้นภาคการผลิต (sector) ที่เป็นดาวรุ่ง เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ (creative) ก็จะช่วยให้สามารถปรับตัวได้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง มองวิฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้เหมาะสม ปล่อยให้กลไกตลาดทำงาน เพื่อปรับการใช้ทรัพยากรให้ถูกที่ถูกทาง แนวโน้มการค้าโลก จะมาจากคนที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง แต่ก็ยังต้องการของดีราคาไม่แพง การเป็นสังคมสูงวัยของทั้งไทยและโลก จะปรับเปลี่ยนแนวโน้มความต้องการสินค้าและบริการในตลาด นอกจากนี้ ปัจจัยเรื่องสิ่งแวดล้อม โรคระบาด และเทคโนโลยี จะเป็นสิ่งสำคัญในการเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
นายสมประวิณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ห่วงโซ่คุณค่า (value chain) โลกจะสั้นลง มีความหลากหลาย และเลือกพื้นที่การผลิตภายในภูมิภาคตนเอง (regionalization) มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของโลก นอกจากนี้ ภาคบริการจะมีบทบาทและเข้าใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น ภาคธุรกิจต้องนำการบริการเชื่อมต่อกับภาคการผลิต เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเข้าถึงตลาดในอนาคต
ทั้งนี้ คาดว่าไทยจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น สิ่งสำคัญคือจะเข้าไปมีส่วนร่วมในห่วงโซ่คุณค่าได้อย่างไร และกระจายความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ทั้งไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน
ด้านนายกฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ แสดงความเห็นสอดคล้องกันว่า การค้าไทยจะเผชิญกับความไม่แน่นอน เพราะการส่งออกสินค้าและตลาดของไทยไม่หลากหลาย รวมทั้งผู้ผลิตสินค้าที่มีศักยภาพส่งออกได้ก็กระจุกตัวแค่ในกลุ่มเล็กๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ ดังนั้น ต้องทำให้ธุรกิจไทยมีศักยภาพในการส่งออกมากขึ้น ด้วยสินค้าที่หลากหลายและมีมูลค่าเพิ่มทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งไทยสามารถเชื่อมโยงการค้ากับประเทศในภูมิภาคได้อย่างส่งเสริมกัน ไม่ใช่แข่งขัน
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการค้าโลก อาทิ การกระจายความเสี่ยงของการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป หันมาสนใจในภูมิภาคตนเองมากขึ้น การใช้เทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาการผลิต ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือแพลตฟอร์มการค้าในรูปแบบต่างๆ การเข้าสู่สังคมสูงวัย การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ และความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งแนวโน้มเหล่านี้ ไทยมีศักยภาพในการพัฒนาได้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารที่ไทยมีความสามารถในการผลิตตลอดห่วงโซ่คุณค่า
อีกประการหนึ่งที่สำคัญ คือ เรื่องความเหลื่อมล้ำ ซึ่งส่งผลต่อการค้าอย่างมาก ไทยควรปรับโครงสร้างการผลิตและการค้าให้กระจายไปสู่ท้องถิ่นมากขึ้น พัฒนาทักษะให้แรงงานในภาคบริการที่ไม่สามารถกลับสู่อาชีพเดิมให้มีความสามารถหลากหลายในการหาเลี้ยงชีพ ให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ยังต้องการแรงงานภาคบริการที่มีทักษะจากไทย นอกจากนี้ เราต้องพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น ทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรม โดยเราอยู่ในโลกดิจิทัล จะทำอย่างไรให้ทุกคนเข้าถึงระบบได้รวดเร็วและทั่วถึง
ส่วนหนี้ครัวเรือน และหนี้ภาคธุรกิจในระดับสูง เป็นอีกปัจจัยที่ดึงไม่ให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศ เป็นอุปสรรคต่อการส่งออก เพราะธนาคารพาณิชย์มักไม่ปล่อยกู้ให้กับธุรกิจที่มีระดับหนี้สูง ดังนั้น จะทำอย่างไรให้ธุรกิจในทุกระดับสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ จึงอาจมีบางธุรกิจที่อยู่รอด และบางธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนไปเติบโตในสาขาใหม่ๆ รวมทั้งการกลับสู่ท้องถิ่นเพื่อปรับโครงสร้างการผลิตและการใช้ทรัพยากรให้เหมาะสม
นายกฤษฎ์เลิศ กล่าวด้วยว่า ในท้ายสุดแล้วสิ่งสำคัญคือ ไทยต้องเลือกว่าจะอยู่ในห่วงโซ่คุณค่าใดของภูมิภาค จะสนับสนุนส่งเสริมการผลิตการค้ากับประเทศในภูมิภาคอย่างไรให้สอดคล้องกับศักยภาพที่แตกต่างกัน เราจะผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (high value added) ได้อย่างไร เราอาจเป็นปลายทางของกระบวนการผลิตของโลก แต่อาจเป็นต้นทางของการผลิตในภูมิภาคได้ นอกจากนี้ การเปิดเสรีทางการค้าไม่ใช่เป็นเพียงการเข้าถึงตลาดใหม่ๆ แต่เป็นการปฏิรูปโครงสร้างการผลิตและการค้าของประเทศแบบมีเงื่อนไขที่เกิดประโยชน์แก่คนในชาติด้วย
ขณะที่ น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ข้อมูลที่ได้รับวันนี้ถือเป็นประโยชน์ต่อทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการนำไปพิจารณาปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต สนค. ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจกำหนดแนวนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าไทย เห็นความสำคัญของการตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจการค้าโลกอย่างรวดเร็วฉับไว และจะได้ใช้ประกอบการกำหนดแนวนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าให้เหมาะสมสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป