“เครดิต สวิส”คาดรายได้ STGT ปีนี้ 2.59 หมื่นลบ. แนวโน้มราคา Outperform ลุ้นแตะเป้า 142 บ.
"เครดิต สวิส" คาดรายได้ STGT ปีนี้แตะ 2.59 หมื่นลบ. แนวโน้มราคา Outperform ลุ้นแตะเป้า 142 บ.
เครดิต สวิส ระบุว่า ภาวะการขาดแคลนถุงมือยางทั่วโลกนำไปสู่ยอดขาย กำไร และมาร์จิ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมถุงมือยางอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน ในขณะที่ยอดขายของบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ในไตรมาสสองปี 2563 เพิ่มขึ้น 488% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และ 150% จากไตรมาสก่อน แต่ราคาขายส่วนใหญ่นั้นมีการกำหนดราคาไว้อยู่แล้วตามสัญญากับคู่ค้าด้วยราคาขายเฉลี่ยที่ค่อนข้างต่ำ
อย่างไรก็ตาม STGT คาดว่าราคาขายเฉลี่ยในไตรมาสที่ 3 และ 4 ปี 2563 จะเพิ่มขึ้น 70% จากไตรมาสก่อน และ 12% จากไตรมาสก่อน ตามลำดับ แต่การที่ STGT มีราคาขายเฉลี่ยที่ต่ำกว่าคู่แข่งนั้นจะทำให้บริษัทยังมีอัพไซด์ต่อราคาขายอยู่มาก และหากเทรนด์ถุงมือยางตกลง STGT ก็จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าคู่แข่ง
นอกจากนี้จุดที่ทำให้ STGT แตกต่างจากบริษัทผลิตถุงมือยางอื่นๆ นอกเหนือจากข้อได้เปรียบด้านวัตถุดิบ และการมีบริษัทแม่เป็นบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA แล้ว STGT ยังมีข้อได้เปรียบจากราคาน้ำมันที่ถูกกว่าคู่แข่งในระแวกนี้ ผนวกกับโครงการสนับสนุนดอกเบี้ยของการยางแห่งประเทศไทยในอัตรา 3% นอกจากนั้นแล้ว STGT ยังวางแผนจะเพิ่มอัตราการผลิตขึ้นเท่าตัว ซึ่งจะผลิตได้ 6.6 หมื่นล้านชิ้นต่อปีภายในปี 2569 และประโยชน์จากอัตราภาษีที่ต่ำจะช่วยเสริมรายได้ให้กับ STGT เช่นกัน ในขณะที่คู่แข่งอื่นๆเริ่มหันไปผลิตถุงมือไนไตร STGT ยังคงมุ่งพัฒนาถุงมือที่ทำจากลาเท็กซ์ ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัท โดยเครดิต สวิสมองว่าจะยังมีอัพไซด์ในดีมานด์อีกมากจากจีน และอินเดีย
ทั้งนี้ เครดิต สวิส คาดว่ารายได้ของ STGT จะแตะ 2.59 หมื่นล้านบาท 3.34 หมื่นล้านบาท ในปี 2563-2564 ก่อนจะชะลอตัวมาอยู่ที่ 2.86 หมื่นล้านบาท ในปี 2565 ขณะที่กำไรสุทธิปี 2563 คาดว่าจะเติบโต 1,339% แตะ 8.6 พันล้านบาท ก่อนจะทะยานขึ้นไปถึง 1.34 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และชะลอลงมาอยู่ที่ 6.4 พันล้านบาท ในปี 2565
นอกจากนี้ STGT มีอัตราการจ่ายปันผลที่น่าสนใจ โดยในปี 2563 คาดอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) จะอยู่ที่ 4.6% และเพิ่มขึ้นเป็น 7.1% ในปี 2564