“สมาคมศูนย์การค้า” ชง 3 แผน ดันลงทุน 1.71 แสนลบ. ยกระดับห้างไทย แหล่งท่องเที่ยวระดับโลก
“สมาคมศูนย์การค้า” ชง 3 แผน ดันลงทุน 1.71 แสนลบ. ยกระดับห้างไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กระตุ้นจ้างงาน
สมาคมศูนย์การค้าไทย ประกอบด้วย ผู้ประกอบการธุรกิจศูนย์การค้าทั้งหมด 13 ราย ได้แก่ บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN), บมจ. สยามฟิวเจอร์ดีเวลลอปเมนท์ (SF), บมจ. ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์, บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด, บมจ. เอ็มบีเค (MBK), บริษัท รังสิตพลาซ่า จำกัด, บริษัท แอล เอช มอลล์ โฮเทล จำกัด, บมจ. เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป (PLAT), บริษัท เค.อี.แลนด์ จำกัด, บริษัท เดอะมอลล์กรุ๊ป จำกัด, บมจ. อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (ILM), บริษัท แปซิฟิคพาร์ค ศรีราชา จำกัด และบริษัท บุญถาวรเซรามิค จำกัด ได้เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอวิสัยทัศน์ขับเคลื่อนประเทศของธุรกิจศูนย์การค้า
โดย น.ส.วัลยา จิราธิวัฒน์ อดีตนายกสมาคมศูนย์การค้าไทย 2 สมัย (ปี 2557-2561) และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) กล่าวว่า เพื่อร่วมกันเร่งฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทางสมาคมศูนย์การค้า จึงขอนำเสนอแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เพื่อภาครัฐพิจารณารวมเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาประเทศ โดยสรุปวิสัยทัศน์ของภาคธุรกิจศูนย์การค้าเป็น 3 ส่วน ได้แก่ แผนระยะสั้น แผนระยะกลาง และแผนระยะยาว ดังนี้
1.แผนระยะสั้น : ส่งเสริมธุรกิจ SMEs ให้สามารถกลับมาค้าขายได้ คงการจ้างงาน และกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ด้วยมาตรการออกเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ, ส่งเสริมโครงการช็อปและเที่ยวช่วยชาติ โดยอนุมัติมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” แจก 3,000 บาทต่อคน พร้อมขยายมายังผู้ค้ารายย่อยในศูนย์อาหาร (Food Center) ให้สามารถเข้าร่วมได้, พิจารณาอนุมัติมาตรการเยียวยาค่าใช้จ่ายผ่านศูนย์การค้าเพื่อช่วยเหลือ SMEs ต่อไป ตามข้อเสนอมาตรการเยียวยาโควิดทั้งด้านภาษีและค่าใช้จ่ายๆ ตามจดหมายที่สมาคมฯ เคยนำเสนอเมื่อวันที่ 15 เม.ย. และ 29 มิ.ย.63 พร้อมขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือด้านการลงทุน และต่ออายุการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตรา 90% ออกไปถึงปี 2566
2.แผนระยะกลาง : ส่งเสริมการลงทุนต่อเนื่อง ด้วยการยกระดับธุรกิจศูนย์การค้าให้อยู่ในแผนแม่บทพัฒนาประเทศ อนุญาตให้ลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษของประเทศ, ส่งเสริม Seamless Connectivity เชื่อมต่ออาคาร, ระบบคมนาคม, สะพานลอย, รถไฟฟ้า, ถนนหลวง ฯลฯ, พิจารณาปรับกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ และส่งเสริมมาตรการด้านภาษีเพื่อการลงทุน
3.แผนระยะยาว : ผลักดันให้ศูนย์การค้าไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวในระดับโลก เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วยการยกระดับคุณภาพและดีไซน์สินค้าของไทยให้ดึงดูดนักท่องเที่ยว ไปพร้อมกับการทยอยปรับลดภาษีสินค้านำเข้า เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนได้ รวมถึงจัดแคมเปญระดับประเทศเพื่อโปรโมท Attraction & Unique Product ภายในศูนย์การค้า และการจัดงานส่งเสริมวัฒนธรรมระดับประเทศ (Cultural Event) โดยภาครัฐเป็นเจ้าภาพ เช่น กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกันส่งเสริม Art / Music / Food ของไทยในศูนย์การค้า เช่น งาน Bangkok Art Biennale เพื่อทำให้ศูนย์การค้าไทยเป็นสวรรค์แห่งการช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายหลักที่ทางสมาคมฯ ผลักดันให้เกิดการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน คือ ผู้ประกอบการ SMEs ทั่วประเทศ เพื่อรักษาไว้ซึ่งห่วงโซ่ธุรกิจ เพื่อช่วยประคองธุรกิจไม่ให้ปิดกิจการ คงการจ้างงาน ลดอัตราการว่างงาน และกระตุ้นเงินหมุนเวียนในระบบ รวมถึงการแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบการจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อให้ธุรกิจรอดไปด้วยกันทั้งหมด
นอกจากนี้ สำหรับแผนระยะกลาง เราหวังให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และการยกระดับให้ธุรกิจศูนย์การค้าเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ของประเทศ ด้วยเราเล็งเห็นบทบาทของศูนย์การค้าที่มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างมาก รวมถึงในระยะยาวเราต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยมีศูนย์การค้าเป็นหนึ่งในแม่เหล็กหลักที่จะช่วยดึงดูดรายได้ให้กับประเทศ
อย่างไรก็ดี ทางสมาคมศูนย์การค้าไทยยังเสนอเพิ่มเติมว่า หากภาครัฐผลักดันและดำเนินการตามวิสัยทัศน์ที่นำเสนอดังกล่าวข้างต้น จะช่วยส่งเสริมและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการธุรกิจศูนย์การค้าดำเนินตามแผนการลงทุนตามที่ได้วางไว้ที่กว่า 171,000 ล้านบาทภายใน 3 ปีต่อจากนี้ (ประมาณ 57,000 ล้านบาทต่อปี) ซึ่งจะนำไปสู่การจ้างงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสนับสนุนให้เกิดการกระจายรายได้ และความเป็นอยู่ที่ดีตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
“ทางสมาคมฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า แผนงานดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ และมีส่วนช่วยขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวให้เดินหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยเยียวยาทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการณ์โควิดในครั้งนี้ให้เดินหน้าต่อไปได้อีกครั้ง” น.ส.วัลยา ระบุ
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า ตัวอย่างข้อเสนอในการประชุมของภาคธุรกิจค้าปลีก ได้แก่ ภาครัฐควรมีนโยบายส่งเสริมประเทศไทยให้เป็น “สุดยอดการใช้ชีวิตแห่งเอเชีย” (Lifestyle hub of Asia”) โดยเสนอมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
โดยระยะสั้นเพื่อพยุงการจ้างงาน และขับเคลื่อน SMEs ให้อยู่รอด เสนอแก้นโยบายค่าแรงขั้นต่ำให้สามารถจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นรายชั่วโมงได้ ซี่งจะนำสู่การจ้างงานเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านอัตรา รวมทั้งออกนโยบายกระตุ้นการใช้จ่าย ด้วยการนำโครงการ “ช้อป ช่วย ชาติ” ออกมาอีกครั้ง และการกระตุ้นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง โดยลดภาษีนำเข้าชั่วคราวเป็นเวลา 4 เดือน เช่น จาก 30% เหลือ 10%
นอกจากนั้นยังมีข้อเสนอแนะระยะสั้น เพื่อไม่ให้ร้านค้าปิดกิจการ มีการจ้างงานต่อไป และมีเงินหมุนเวียนในระบบ รัฐควรปล่อยซอฟต์โลนโดยอนุญาตให้ผู้ประกอบการสามารถนำหลักฐานใบสัญญาเช่ามาใช้ขอเงินกู้ได้ , ออกโครงการช็อปและเที่ยวช่วยชาติ และ เยียวยาลดค่าใช้จ่ายศูนย์การค้า เช่น ลดค่าไฟ ภาษีนิติบุคคล ภาษีป้าย ยืดเวลาการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% ไปถึงปี 2566
สำหรับแผนระยะกลาง ควรส่งเสริมยกระดับให้ธุรกิจศูนย์การค้าอยู่ในแผนแม่บทของประเทศเปิดพื้นที่เพิ่มโซนการลงทุนให้ศูนย์การค้า เช่นเดียวกับ EEC ส่งเสริม seamless connectivity โดยปรับกฏหมาย ทางเชื่อมอาคาร ลดค่าธรรมเนียมเงื่อนไขเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชน ปรับกฎหมายให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ เพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจศูนย์การค้า
แผนระยะยาวควรผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก เป็นแหล่งช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยวชั้นนำ เทียบชั้นญี่ปุ่น เกาหลี ยกระดับสินค้าไทยให้แข่งขันได้ พร้อมทยอยลดภาษีนำเข้าให้ราคาสินค้าแข่งขันกับต่างประเทศได้
ด้านนายนพพร วิฑูรชาติ นายกสมาคมศูนย์การค้าไทย (TSCA) และประธานกรรมการบริหาร บมจ. สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ (SF) กล่าวว่า ศูนย์การค้า นับเป็นภาคธุรกิจหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเป็นสถานที่ที่รวมผู้ประกอบการจำนวนมากกว่า 120,000 ราย ซึ่งก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 2.4 ล้านคน สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนกว่า 750,000 ล้านบาทต่อปี ศูนย์การค้าจึงเปรียบเสมือน “บ้านหลังใหญ่” ของผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ และนับเป็นต้นน้ำที่เป็นจุดเริ่มต้นและรวมการค้าขายเอาไว้ จึงมีบทบาทต่อเศรษฐกิจของประเทศในทุกระดับ
ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์โควิดจนถึงปัจจุบัน ภาคธุรกิจศูนย์การค้าได้มีความพยายามช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ของประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมระยะเวลากว่า 6 เดือน รวมรายได้ที่สูญเสียและเม็ดเงินช่วยเหลือเกือบ 2 แสนล้านบาท อาทิ การลดค่าเช่า 30-100% เพื่อให้ร้านค้ายังคงมีกระแสเงินสดหมุนเวียนและประคองธุรกิจต่อไปได้ ส่งเสริมการขายจัดแคมเปญลดราคา 50-90% รวมไปถึงเปิดพื้นที่การขายฟรีให้ SMEs และผู้ประกอบอาชีพต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการณ์ในครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของผู้บริโภค ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นวิธีประคองธุรกิจในระยะสั้น แต่ไม่เพียงพอให้ธุรกิจอยู่รอดได้อย่างต่อเนื่อง