BANPU ตั้งเป้า EBITDA “บ้านปู เน็กซ์” แตะ 20% ปี 68 รับพอร์ตไฟฟ้าพุ่ง-ลงทุนเพิ่ม
BANPU ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วน EBITDA "บ้านปู เน็กซ์" แตะ 20% ปี 68 หลังเพิ่มพอร์ตไฟฟ้า
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด (BANPU NEXT) ซึ่งดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานสะอาดแบบครบวงจร เป็นระดับ 20% ภายในปี 68 จากปัจจุบันที่อยู่ระดับต่ำกว่า 5% หลังเตรียมเพิ่มพอร์ตผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในมือเพิ่มเป็นระดับ 1,600 เมกะวัตต์ (MW) ในปี 68 แบ่งเป็น กลุ่มโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) พลังงานลม (วินฟาร์ม) รวม 1,100 เมกะวัตต์ และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) 500 เมกะวัตต์
ขณะที่ปัจจุบันมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด 814 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังการผลิตที่จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 519 เมกะวัตต์ โดยบริษัทยังมองหาโอกาสการลงทุนเพิ่มเติมในโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม วินด์ฟาร์ม ทั้งในจีน,ญี่ปุ่น ,เวียดนาม และออสเตรเลีย
สำหรับกำลังการผลิตในมือที่มีอยู่ 814 เมกะวัตต์ดังกล่าว มีทั้งในส่วนของโครงการโซลาร์ฟาร์ม วินฟาร์ม ในญี่ปุ่นและจีน รวมถึงมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างในเวียดนาม และการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานลม เอลวิน หมุย ยิน (El Wind Mui Dinh) ที่ COD แล้วในเวียดนาม กำลังการผลิต 37.6 เมกะวัตต์ ซึ่งจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/63 นอกจากนี้ยังมีการลงทุนผ่านบริษัทลูก คือ บริษัท Sunseap Group Pte. Ltd. (Sunseap) ผู้นำธุรกิจระบบผลิตไฟฟ้าบนหลังคาของสิงคโปร์
“การเติบโตต่อไปของ renewable คือการเติมเมกะวัตต์ของพวกโซลาร์ฟาร์ม วินด์ฟาร์ม โดยวินฟาร์ม Soc Trang เวียดนามต้นปีหน้าก็จะแล้วเสร็จ เฟสแรก 30 เมกะวัตต์ ก็จะเติมเข้ามา แล้วเราก็จะไปซื้อเพิ่มพวกที่เป็น existing operation หลัก ๆ ก็ดูในประเทศที่เราอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน เวียดนาม หรือออสเตรเลียที่เรามีฐานอยู่แล้ว ก็เป็นแนวที่จะทำให้บ้านปู เน็กซ์ เติบโตต่อไปด้วย renewable ส่วนด้าน energy thecnology ก็จะเติบโตไปแบบโซลูชั่น ทั้งหมดก็จะ scale up ขึ้นไป โดยคาดว่าในส่วนนี้ปี 2025 renewable จะมี contribution เข้ามาให้กับ EBITDA ของบ้านปู 15% และ enenergy technology อีก 5% ฉะนั้น บ้านปู เน็กซ์ จะมีสัดส่วนรวมอยู่ที่ 20% ถ้าเทียบกับปัจจุบันยังต่ำกว่า 5%” นางสมฤดี กล่าว
ทั้งนี้ ตามเป้าหมายในปี 68 เมื่อธุรกิจของบ้านปู เน็กซ์ เติบโตขึ้น และการขยายงานในส่วนธุรกิจอื่นๆ ของบริษัท ก็จะทำให้สัดส่วน EBITDA ของธุรกิจอื่น ๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยธุรกิจถ่านหิน จะลดสัดส่วน EBITDA เหลือ 40% จากราว 70% ในปัจจุบัน , ก๊าซธรรมชาติ ขยับขึ้นเป็น 10% จากราว 5% , ธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป (Conventional) ในพอร์ตของบมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) ทรงตัวที่ราว 30% ขณะที่บ้านปู เน็กซ์ ขยับขึ้นเป็น 20% จากต่ำกว่า 5%
อนึ่ง BANPU และ BPP ถือหุ้นฝ่ายละ 50% ในบ้านปู เน็กซ์ ซึ่งดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานสะอาดแบบครบวงจร ภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter โดยมีธุรกิจภายใต้การดำเนินงาน 6 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ (Renewable Energy Power Plant) , ธุรกิจระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับลูกค้ารายย่อย (Renewable Energy Microgeneration Systems) , ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System หรือ ESS) ,ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle หรือ EV) ,ธุรกิจบริหารจัดการระบบการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพ (Energy Efficiency หรือ EE) และธุรกิจเอนเนอร์จี เทคโนโลยี แอ็กเซสซอรี่ (Energy Technology Accessories) เพื่อนำเสนอโซลูชันด้านเทคโนโลยีพลังงานล้ำสมัย
สำหรับการขยายพอร์ตโซลูชั่นเทคโนโลยีพลังงานเพิ่มเติม จากปัจจุบันที่ให้บริการด้านสมาร์ทซิตี้โซลูชั่นให้กับโรงเรียนนานาชาติรักบี้ประเทศไทย ในจ.ชลบุรี ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับเทศบาลแสนสุข ในจ.ชลบุรี และเทศบาลขอนแก่น เพื่อออกแบบและพัฒนาสมาร์ทซิตี้โซลูชั่นในพื้นที่ โดยคาดวาจะเห็นภาพชัดเจนภายในสิ้นปีนี้ และเตรียมขยายโอกาสเพิ่มเติมทั้งในจ.ภูเก็ตและกระบี่ ต่อไป
นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของบ้านปู เน็กซ์ จะให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าและขนส่งแบบครบวงจรของไทย ซึ่งปัจจุบันได้เข้าถือหุ้น 30% ในบริษัท เออร์เบิน โมบิลิตี้ เทค จำกัด ผู้ให้บริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชั่น “MuvMi” (มูฟมี) ตามเส้นทางเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟฟ้าหลัก โดยมีเป้าหมายให้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 100 คันในปีนี้ และเพิ่มเป็น 1,000 คันในปี 64-65 ก่อนจะขยับเพิ่มเป็น 5,000 คันในปี 68 รองรับการให้บริการตามสถานีรถไฟฟ้าที่คาดว่าจะมีสถานีรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลเพิ่มเป็น 250 สถานีตามการขยายตัวของเส้นทางรถไฟฟ้า
รวมถึงบ้านปู เน็กซ์ ยังมีความร่วมมือกับบริษัท ฮ้อปคาร์ จำกัด ผู้ให้บริการเช่ารถผ่านแอปพลิเคชันของ HAUP CAR ด้วยการให้บริการเช่ารถยนต์ไฟฟ้า FOMM ผ่านแอปพลิเคชั่นดังกล่าว โดยปัจจุบันมีรถให้บริการอยู่ราว 50 คันสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีเพิ่มเป็น 100 คัน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นฟลีทรถในกลุ่มโรงพยาบาล โรงเรียน โรงแรม เป็นต้น
ล่าสุดบ้านปู เน็กซ์ ยังได้ขยายไปสู่เรือยานยนต์ไฟฟ้า นำร่องเรือท่องเที่ยวไฟฟ้าทางทะเลลำแรกของไทย ภายใต้ชื่อ “นพมัลลี” ด้วยเงินลงทุนราว 36 ล้านบาท ซึ่งเป็นอีวีเฟอร์รี่ ที่บรรจุผู้โดยสารได้ 90 คน ให้บริการนำเที่ยวข้ามเกาะในจ.ภูเก็ต มีระยะทางวิ่งไป-กลับได้ราว 4 ชั่วโมง ที่ความเร็ว 30-40 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการสรุปรูปแบบโมเดลธุรกิจ แต่เบื้องต้นบริษัทจะเป็นผู้บริหารฟลีทเรือในลักษณะให้บริการโซลูชั่น เพราะจะต้องมีท่าเรือที่เป็นอู่จอดเรือ และสถานีชาร์จไฟฟ้าด้วย ซึ่งบริษัทจะต้องเป็นผู้ให้บริการและดูแล คาดว่าจะเรือท่องเที่ยวลำแรกน่าจะพร้อมให้บริการในปลายก.ย. หรือไตรมาส 4/63 ขณะเดียวกันก็ยังอยู่ระหว่างสั่งต่อเรือท่องเที่ยวลำที่ 2 กับทางบริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด ซึ่งคาดว่าจะมีการรับมอบต่อไปในปี 64 และในอนาคตบริษัทมองถึงศักยภาพขยายการให้บริการอีวีเฟอร์รี่ได้ถึง 200 ลำ
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 61 จนถึงปัจจุบัน บ้านปู เน็กซ์ มีการลงทุนต่าง ๆ ไปแล้วประมาณ 260 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรวมถึงวงเงินที่เตรียมจะจ่ายเงินเพื่อรับโอนหุ้นโรงไฟฟ้าเอลวิน หมุย ยิน ในเวียดนาม ช่วงไตรมาส 4/63 จำนวน 66 ล้านเหรียญสหรัฐ และการจ่ายเงินค่าเรืออีวีเฟอร์รี่ จำนวน 1 ลำ ราว 36 ล้านบาทด้วย