BJCHI มั่นใจกำไร-รายได้ปีนี้โตเข้าเป้า เจรจาซื้อกิจการ-ร่วมทุนต่อยอด
BJCHI มั่นใจกำไร-รายได้ปีนี้โตเข้าเป้า เจรจาซื้อกิจการ-ร่วมทุนต่อยอด
นายยู ยูน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ BJCHI เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโตจากปีก่อน โดยยังคงเป้าหมายรายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อนอยู่ที่ 4,581 ล้านบาท จากงานในมือ(Backlog) ที่มีอยู่ประมาณ 6,500 ล้านบาท ที่จะสามารถรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ราว 50% ของมูลค่าทั้งหมด และที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 59 โดยส่วนใหญ่มาจากงานโครงการ TUPI B.V.Replicant FPSO Compression Modules ในประเทศบราซิล
ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างประมูลงานเพิ่มเติมอีกจำนวนทั้งสิ้น 9 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 6,500 ล้านบาท โดยคาดหวังจะได้รับงานมากกว่า 60% ซึ่งจะทราบผลได้ภายในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ทั้งนี้ เป็นงานโครงการ High Potential Projects ในประเทศบราซิล ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง และในแถบเอเชีย
ทั้งนี้ บริษัทเพิ่งบรรลุข้อตกลงในการใช้พื้นที่บริเวณท่าเรือใน อ.สัตหีบ สำหรับเตรียมงานก่อสร้างและประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการทำงานเนื่องจากเป็นการลดระยะเวลาขนส่งและเพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ อีกทั้งยังเป็นการรองรับปริมาณงานในมือที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตอีกด้วย
พร้อมกันนี้ บริษัทก็อยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนหลายราย คาดว่าน่าจะได้เห็นความชัดเจนได้ในปี 59 โดยบริษัทคาดหวังสัดส่วนการถือหุ้นราว 5-10% ซึ่งการร่วมทุนดังกล่าวจะเป็นการขยายไลน์ธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการรับงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่เข้าถือหุ้นด้วย
นายยู ยูน กล่าวว่า บริษัทมองโอกาสเพื่อเข้าซื้อกิจการ(M&A) ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อซื้อกิจการในประเทศไทย เวียดนาม เกาหลีและออสเตรเลีย ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม เพื่อเป็นการต่อยอดการเติบโต โดยคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนได้ในปี 59
ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทยังเตรียมเดินทางไปโรดโชว์ให้กับนักลงทุนสถาบันที่ประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าการไปโรดโชว์ดังกล่าวจะทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้าใจธุรกิจบริษัทมากขึ้น และจะช่วยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนสถาบันในบริษัท จากปัจจุบันนักลงทุนสถาบันถือหุ้นบริษัทรวมกันราว 2%