CPW บวก 1.58% ทุบสถิติ”ออลไทม์ไฮ” โบรกฯแนะ “ซื้อ” เป้า 3.06 บ. คาดรายได้ครึ่งปีหลังโต 40%
CPW บวก 1.58% ทุบสถิติ"ออลไทม์ไฮ" โบรกฯแนะ "ซื้อ" เป้า 3.06 บ. คาดรายได้ครึ่งปีหลังโต 40% โดย ณ เวลา 15.19 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 2.58 บาท บวก 0.04 บาท หรือ 1.57% สูงสุดที่ระดับ 2.70 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 88.96 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ CPW ณ เวลา 15.19 น. อยู่ที่ระดับ 2.58 บาท บวก 0.04 บาท หรือ 1.57% สูงสุดที่ระดับ 2.70 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 88.96 ล้านบาท
โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2562 มีราคา IPO อยู่ที่ 2.38 บาทต่อหุ้น
ด้าน บล.จีเอ็มโอ-แซด คอม ระบุในบทวิเคราะห์ (7 ต.ค.63) แนะนำ “ซื้อ” CPW ราคาเป้าหมาย 3.06 บาท/หุ้น อิง PE Multiple ที่ 25.0 เท่า ซึ่งเป็นระดับ Avg PE 1.0SD ของ COM7 ย้อนหลัง 5 ปี เนื่องจาก COM7 ทำธุรกิจคล้ายกับ CPW และซื้อขายบนกระดาน SET เหมือนกัน เชื่อว่า iPhone12 ที่คาดว่าจะเปิดตัวในวันที่ 13/10/2020 จะช่วยหนุนยอดขายในไตรมาส 4/63 นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมเปิดร้าน A-Store สาขาแรกซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายกลุ่ม Non-Apple มากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงและเป็นการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่
อย่างไรก็ดี มีการคาดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใน iPhpne12 ที่สำคัญ ได้แก่ การรองรับ 5G(ครั้งแรกของ iPhone), ชิป A14 Bionic, กล้องหลังมี LiDAR ทำให้ใช้โหมดกลางคืนได้ทุกเลนส์ (Source: https://specphone.com/web/iphone-12-vs-iphone-11-change-to-expect/297641) ทั้งนี้ มองว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นการกระโดดทางเทคโนโลยีของ iPhone ที่จะทำให้ลูกค้าเก่าตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องใหม่ และยังเป็นรุ่นแรกที่รองรับสัญญาณ 5G ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไทย
โดยคาดว่ารายได้ของ CPW ในครึ่งหลังปี 2563 จะเติบโตได้ 40% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 2563 จากการเปิดตัวของ iPhone รุ่นใหม่เป็นประจำในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน คาดว่ารายได้จะลดลงเล็กน้อยราว 5% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในปี 20 อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค การเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่ล่าช้าไปประมาณ 1 เดือน อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าการเปิดตัวที่ล่าช้าในปีนี้จะหนุนยอดขายเติบโตในช่วง ครึ่งแรกปี 2564 ต่อไป(เหมือนที่เคยเกิดขึ้นใน ปี 18 ที่ได้อานิสงส์จากการเปิดตัว iPhoneX ที่ล่าช้าในครึ่งหลังปี 2560) หนุนคาดการณ์รายได้ปี 2564 เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน
ทั้งนี้ คาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/63 จะเป็นจุดต่ำสุดไปแล้วเนื่องจากการถูกปิดสาขาไปถึง 41 สาขา จากทั้งหมด 44 สาขา ตามมาตรการ Lock Down โดยเราคาดว่าการฟื้นตัวของยอดขายจะทยอยกลับมาต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไปเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว และสินค้าของบริษัทเป็นกึ่งแฟชั่นโดยเฉพาะสินค้าในกลุ่ม Digital Lifestyle โดยคาดรายได้ที่ 621 ลบ. เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน ลดลง 7% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 15.7% ต่ำกว่าไตรมาส 3/62 ที่ 17.1% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำที่ 97 ลบ.เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อน ลดลง 8% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน จากการลดค่าเช่าพื้นที่ให้บางส่วนจากห้างสรรพสินค้า ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิที่ 2 ลบ. เพิ่มขึ้น 75% จากไตรมาสก่อน ลดลง 79% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน
นอกจากนี้ เชื่อว่า iPhone12 จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ของ iPhone โดยคาดว่าเป็นรุ่นที่รองรับสัญญาณ 5G รุ่นแรกของ Apple สอดคล้องกับการเริ่มเปิดให้บริการ 5G ในประเทศไทยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น ทำให้คาดว่าโทรศัพท์รุ่นที่รองรับ 5G จะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากขึ้น
อย่างไรก็ตามการเลื่อนการเปิดตัวของ iPhone 12 ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมาจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้คาดว่า iPhone12 จะเริ่มขายในประเทศไทยได้ในช่วงเดือนพ.ย. ซึ่งคล้ายกับการเปิดตัว iPhone X ในปี 2560 ที่เริ่มขายปลายพ.ย.เช่นกัน ส่งผลให้ยอดขายในปี 2561 เติบโตเด่น ทั้งนี้เราคาดรายได้ปี 2563 และ 2564 ที่ 3,282 ลบ. และ 3,765 ลบ. ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และเพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ตามลำดับ ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2563 และ 2564 ที่ 58 ลบ. และ 73 ลบ. ลดลง 25% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และ 27% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ตามลำดับ