“อาคม” ชี้มาตรการรัฐ หนุนศก.ไทยฟื้น ดันแบงก์รัฐ-เอกชน ลุยช่วยลูกหนี้ต่อเนื่อง

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รมว.คลัง) เปิดเผยว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (20 ต.ค.63) นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาน์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ได้รายงานการประมาณการภาวะเศรษฐกิจไทย ที่ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ในปี 2563 ให้ดีขึ้นเป็น -7.1% จากเดิมที่คาด -7.7% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิดที่คลี่คลาย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากจากมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมทั้งการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อย

“แนวโน้มการปรับตัวเลขเศรษฐกิจนั้น ทั้ง IMF และธนาคารโลก ได้ปรับตัวเลขให้ภูมิภาคเอเชียฟื้นตัวเร็วกว่าภูมิภาคอื่นของโลก ประกอบกับจะเห็นได้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นหลายตัว มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 3 นี้ และคาดว่าจะต่อเนื่องไปไตรมาส 4” รมว.คลัง กล่าว

ส่วนการให้ความช่วยเหลือเรื่องสภาพคล่องทางการเงินที่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่นั้น มาตรการภายใต้ พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 (พ.ร.ก.ซอฟต์โลน) วงเงิน 5 แสนล้านบาท ของธปท. ซึ่งเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าจะไม่ต่ออายุจากที่จะสิ้นสุดมาตรการในวันที่ 22 ต.ค.นี้ ซึ่ง ธปท.เองไม่ได้นิ่งเฉย โดยได้ประสานกับธนาคารพาณิชย์เพื่อให้มีมาตรการต่อเนื่องในการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคาร ซึ่งได้มีการจัดกลุ่มลูกค้าไว้ 4 กลุ่ม แบ่งเป็น 1.ลูกหนี้ที่กลับมาดำเนินธุรกิจตามปกติ (ราว 60%) 2. ลูกหนี้ที่กลับมาดำเนินธุรกิจได้ แต่ยังไม่ฟื้นตัวดี (ราว 34%) 3.ลูกหนี้ที่ยังไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ และ 4.ลูกหนี้ที่ขาดการติดต่อกับสถาบันการเงิน (ราว 1%)

ในขณะที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเอง ซึ่งนอกจากที่ผ่านมาได้ให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่ลูกค้าของธนาคารตามมาตรการซอฟต์โลนของ ธปท.แล้ว ยังมีมาตรการเฉพาะของแต่ละธนาคารเองที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือลูกค้าด้วย

  “ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ก็ยังดูแลลูกค้าต่อเนื่อง ลูกหนี้ที่อยู่กับแบงก์รัฐมี 4 ล้านรายที่จะเข้าไปช่วยเหลือ จากทั้งหมด 12 ล้านรายที่เป็นเอสเอ็มอี…ส่วนสินเชื่อที่ได้เข้าไปช่วยเหลือ ในส่วนของแบงก์รัฐอยู่ที่ 1.9 ล้านล้านบาท จากทั้งหมด 5.5 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ยังได้มีการปล่อยสินเชื่อจากซอฟต์โลนให้แก่นอนแบงก์ เช่น ลิสซิ่ง เช่าซื้อรถที่มีอยู่อีกจำนวนหนึ่งด้วย” นายอาคม กล่าว

พร้อมระบุว่า ในส่วนของมาตรการเสริมสภาพคล่อง ไม่ว่าจะเป็นการพักชำระหนี้ หรือชะลอการชำระหนี้นั้น กระทรวงการคลังยังให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหน้าที่ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ในการเป็นเครื่องมือช่วยให้สภาพคล่องในระบบธุรกิจสามารถเดินต่อได้ ซึ่งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการประสานงานกับธนาคารต่างๆ ซึ่งจะได้เห็นความชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ หรือไม่เกินต้นสัปดาห์หน้า