จังหวะช้อน AWC หลังปิดเช้าทำ “ออลไทม์โลว์” ฟากโบรกฯมองโอกาสเก็บของถูก
จังหวะช้อน AWC หลังปิดเช้าทำ "ออลไทม์โลว์" ฟากโบรกฯมองโอกาสเก็บของถูก โดยปิดตลาดภาคเช้า ราคาอยู่ที่ 2.94 บาท ลบ 0.02 บาท หรือ 0.68% สูงสุดที่ 2.96 บาท ต่ำสุดที่ 2.88 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 65.72 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ปิดตลาดภาคเช้า อยู่ที่ 2.94 บาท ลบ 0.02 บาท หรือ 0.68% สูงสุดที่ 2.96 บาท ต่ำสุดที่ 2.88 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 65.72 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2562
ด้าน บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ (22 ต.ค.63) แนะนำ “ทยอยซื้อที่แนวรับ” AWC โดยระดับราคา ได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจนลงมาลงลึกใกล้ Low เดิมแล้ว และที่สำคัญได้มีภาวะ Oversold อย่างมีนัยสำคัญแล้วทำให้น่าจะมี Downside Risk น้อยแล้ว พร้อมให้แนวรับ 2.90-2.70 บาท แนวต้าน 3.10-3.24 บาท
ขณะที่ นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/63 มีโอกาสพลิกกลับมามีกำไร หากชาวต่างชาติเริ่มทยอยเดินทางเข้ามาในประเทศมากขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนภาพรวมของบริษัท โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่มีสัดส่วนรายได้มากถึง 50% และในช่วงไตรมาส 4 โดยปกติจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ และเป็นไตรมาสที่มีสัดส่วนรายได้ค่อนมาก 30-40% จากทุกไตรมาส
อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเริ่มเห็นผลการดำเนินงานพลิกฟื้นกลับมาอย่างก้าวกระโดดในช่วงครึ่งหลังของปี 64 ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงที่การผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 จะถูกนำออกมาใช้ได้อย่างชัดเจน และจะทำให้การเดินทางท่องเที่ยวกลับมา ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยสะดวกมากขึ้นและคาดหวังจะกลับมาเท่ากับช่วงปลายปี 62 หนุนผลงานของบริษัทให้พลิกฟื้นกลับมาอย่างชัดเจน
“เรายังเชื่อมั่นในศักยภาพการท่องเที่ยวของไทยที่ยังมีศักยภาพ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติยังชื่นชอบและต้องการที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในไทยอยู่มาก แต่สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้การเดินทางต่างประเทศหยุดชะงักไป และยังไม่มีวัคซีนออกมารักษาที่ชัดเจน ทำให้ธุรกิจเราซึ่งมีธุรกิจโรงแรมอยู่มากกระทบ แต่หากนักท่องเที่ยวกลับมามากขึ้นในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ชัดเจนก็มีโอกาสที่ผลการดำเนินงานเราจะพลิกเป็นบวกได้เหมือนกัน เพราะไตรมาสสุดท้ายสัดส่วนของผลงานค่อนข้างมีผลมาก เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ”
สำหรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การลงทุนของบริษัทชะลอออกไปบ้าง เนื่องจากต้องหันมาบริหารจัดการต้นทุน และรักษาสภาพคล่องมากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปได้ โดยที่บริษัทยังมีความแข็งแกร่ง และสามารถดูแลพนักงานได้ด้วย โดยเฉพาะในส่วนของการซื้อสินทรัพย์ของ TCC Group อาจจะต้องชะลอออกไปบ้างในภาวะที่ยังไม่แน่นอน รวมไปถึงการเข้าซื้อสินทรัพย์ใหม่นอกเครือทั้งโรงแรม และคอมเมอร์เชียล ก็ยังมีการศึกษาและพิจารณาการเข้าซื้ออยู่บ้าง แต่จะดูทรัพย์ที่มีความเหมาะสมและราคาที่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนในส่วนนี้
ขณะเดียวกันโรงแรมที่มีแผนเปิดใหม่และกลับมาให้บริการก็พิจารณาเลื่อนออกไปราว 6 เดือน เช่น โรงแรมบายันทรี กระบี่ ที่เตรียมจะเปิดในวันที่ 24 ต.ค.นี้ จากกำหนดเดิมที่จะเปิดในช่วงไตรมาส 2/63 โรงแรม MELIA เชียงใหม่ และโรงแรม Imperia แม่ปิง เชียงใหม่ เลื่อนเปิดให้บริการไปเป็นปลายปี 64 จากเดิมต้นปี 64 โรงแรมที่ Asiatique ที่กำลังอยู่ระหว่างการออกแบบ ได้เลื่อนเปิดให้บริการออกไปเป็นปี 66 จากเดิมปี 65
ส่วนธุรกิจค้าปลีกบริษัทได้มีการปรับคอนเซปต์ของศูนย์การค้าใหม่ โดยเฉพาะการปรับศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ เป็นศูนย์ส่งสินค้าจีน จากเดิมที่เป็นศูนย์สินค้าไอที ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมการซื้อของคนสมัยใหม่ ที่หันมาซื้อสินค้าไอทีผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้บริษัทปรับเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมาเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่มาเลือกซื้อสินค้าไปจำหน่ายต่อ โดยเฉพาะสินค้าจากจีนที่ได้รับความนิยม ซึ่งได้จับมือกับพันธมิตร Yiwu ในการผลักดันคอนเซปต์ใหม่ครั้งนี้ คาดว่าจะทำให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการในศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20,000 คน/วัน